เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) หรือ ACT ได้เปิดเผยบน Facebook page ขององค์กรฯ เกี่ยวกับโครงการภายใต้งบเงินกู้สู้โควิด 400,000 ล้านบาท หรือที่ปัจจุบันปรับเป็นงบ 355,000 ล้านบาท ว่าสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ได้ทำหนังสือถึงสภาพัฒน์ว่ามีความเสี่ยงที่อาจไม่บรรลุวัตถุประสงค์ เนื่องจากเสี่ยงต่อการคอร์รัปชัน จำนวน 8 โครงการ วงเงินรวมถึง 1.3 หมื่นล้านบาท
จากข้อมูลดังกล่าวทีมงาน ACT จึงใช้เครื่องมือ จับโกงงบ COVID ด้วย ACT Ai ซึ่งรวบรวมผลประเมินความเสี่ยงการทุจริตที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) ประเมินไว้ให้ เพื่อตรวจสอบโครงการเหล่านี้ดูพบว่า 2 ใน 8 โครงการ “มีความเสี่ยงการทุจริตอยู่ในระดับสูง” และอีก 6 โครงการที่เหลือ “มีความเสี่ยงการทุจริตอยู่ในระดับกลาง” ตามรายละเอียดดังนี้
1. โครงการ 1 ตำบล 1 กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่ งบ 3,550 ล้านบาท ของหน่วยงานสำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เว็บไซต์จับโกงงบ COVID ด้วย ACT Aiขึ้นแถบสีแดง ระบุว่า “มีความเสี่ยงการทุจริตอยู่ในระดับสูง” และข้อเสนอแนะจากสำนักงาน ป.ป.ท. มีประเด็นที่ควรเฝ้าระวัง ดังนี้
- การจ้างแรงงาน อาจมีความเสี่ยงที่คณะกรรมการคัดเลือกผู้สมัครอาจมีการช่วยเหลือผู้สมัครบางรายโดยมิชอบ อาจไม่ติดตาม ตรวจสอบการทำงานจริงหรือการใช้ดุลยพินิจต่างๆ
- การจัดซื้อจัดจ้าง อาจมีการเอื้อประโยชน์ให้กับพวกพ้อง การล็อกสเปก การจัดซื้อวัสดุต่างๆ อาจไม่มีความเหมาะสมในการใช้งานจริง
- การจัดอบรมสัมมนา การเบิกจ่ายงบประมาณ อาจไม่ตรงกับการอบรมจริง
- งบประมาณอื่นๆ อาจมีการจัดทำเอกสารเท็จ ใช้จ่ายไม่ตรงวัตถุประสงค์และ สตง. พบปัญหาว่าขาดความพร้อมในการดำเนินงาน จากการที่มีเกษตรกรลงทะเบียนร่วมโครงการไม่เป็นไปตามเป้าหมาย จากการกำหนดเงื่อนไขต่างๆ ที่อาจไม่คำนึงถึงการส่งเสริมหรือสิ่งที่เกษตรกรจะได้รับอย่างแท้จริง รวมถึงจัดสรรเงินกู้ล่าช้ากว่าแผนการใช้จ่ายที่กำหนดไว้
2. โครงการ“โคก หนอง นา โมเดล” งบ 4,788 ล้านบาทของกรมพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย พบว่า“ความเสี่ยงการทุจริตอยู่ในระดับสูง” มีข้อเสนอแนะจากสำนักงาน ป.ป.ท. ว่ามีประเด็นที่ควรเฝ้าระวังในลักษณะเดียวกันกับโครงการ 1 ตำบล 1 กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่ และ สตง. พบความล่าช้าในการจัดสรรเงินกู้ โดยเฉพาะงบที่ใช้ในกิจกรรมการจ้างทำแพลตฟอร์มและแอปพลิเคชัน นอกจากนี้ยังพบว่าการกำหนดเงื่อนไขของโครงการไม่สอดคล้องกับความต้องการ หรือ โครงการไม่มีความเหมาะสมในแง่การปฏิบัติจริง
3. โครงการพัฒนาธุรกิจบริการดินและปุ๋ยเพื่อชุมชน (One Stop Service) งบ 170 ล้านบาท ของกรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พบว่ามี “ความเสี่ยงการทุจริตอยู่ในระดับกลาง” และข้อเสนอแนะจากสำนักงาน ป.ป.ท. มีประเด็นที่ควรเฝ้าระวัง ดังนี้
- การจัดซื้อจัดจ้าง เช่น วัสดุทางการเกษตรอาจกำหนดเงื่อนไขประกวดราคามีลักษณะเป็นการกีดกันผู้เสนอราคารายย่อย ส่งมอบแม่ปุ๋ยเคมีให้กับกลุ่มเป้าหมายอาจไม่ครบถ้วนจำนวนตามที่จัดซื้อจริง หรือการจัดซื้อครุภัณฑ์ต่างๆ และจ้างทำสื่อ จ้างที่ปรึกษา อาจมีการล็อกสเปก จัดซื้อใช้ประโยชน์ไม่คุ้มค่า หรืออาจมีการ
เอื้อประโยชน์ให้กับพวกพ้อง
- การจัดอบรมสัมมนา อาจไม่มีการบริหารจัดการให้การอบรมสัมมนาให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ หรือการเบิกจ่ายงบประมาณ อาจไม่ตรงกับการอบรมจริง
- งบประมาณอื่นๆ อาจมีการจัดทำเอกสารเท็จใช้จ่ายไม่ตรงวัตถุประสงค์และ สตง.พบปัญหาเช่นเดียวกับโครงการ “โคก หนอง นา โมเดล” ว่าเกิดความล่าช้าในกิจกรรมการจ้างทำแพลตฟอร์มและแอปพลิเคชัน และการกำหนดเงื่อนไขของโครงการไม่สอดคล้องกับความต้องการ หรือ โครงการไม่มีความเหมาะสมในแง่การปฏิบัติจริง และแต่ละจังหวัดก็มีการจัดซื้อจัดจ้างที่ยังไม่แล้วเสร็จทั้งหมดอีกด้วย
4. โครงการพื้นที่ท่องเที่ยวปลอดภัยสำหรับนักท่องเที่ยว(Safety Zone) งบ 15 ล้านบาท ของกรมการท่องเที่ยว กระทรวงการท่องเที่ยวฯพบว่าความเสี่ยงการทุจริตอยู่ในระดับกลาง มีข้อเสนอแนะจากสำนักงาน ป.ป.ท. ว่ามีประเด็นที่ควรเฝ้าระวังในลักษณะเดียวกันกับโครงการ One Stop Service และ สตง. พบปัญหาเจ้าหน้าที่ไม่สามารถเข้าพื้นที่เพื่อจัดประชุม หรือฝึกอบรมผู้ประกอบการท่องเที่ยวได้ เนื่องจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 อย่างต่อเนื่อง
5. โครงการพัฒนาศักยภาพแหล่งท่องเที่ยวเรียนรู้ด้านสัตว์ป่า งบ 742 ล้านบาท ของกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืชกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พบว่ามีความเสี่ยงการทุจริตอยู่ในระดับกลาง และมีข้อเสนอแนะจากสำนักงาน ป.ป.ท. ว่ามีประเด็นที่ควรเฝ้าระวัง ดังนี้
- การจ้างแรงงาน อาจมีการช่วยเหลือในรูปแบบต่างๆ เพื่อให้พวกพ้องได้รับประโยชน์โดยมิชอบ ผู้รับจ้างอาจจะไม่มาทำงานจริง หรือทำงานไม่ครบตามสัญญาจ้างแต่มีการเบิกจ่าย หรืออาจมีการแบ่งปันผลประโยชน์ตามอัตราที่ตกลงร่วมกัน
- การจัดซื้อจัดจ้าง อาจมีการเอื้อประโยชน์ให้กับพวกพ้อง การล็อกสเปก การจัดซื้อวัสดุต่างๆ อาจไม่มีความเหมาะสมในการใช้งานจริงต้องการ หรือ โครงการไม่มีความเหมาะสมในแง่การปฏิบัติจริง และแต่ละจังหวัดก็มีการจัดซื้อจัดจ้างที่ยังไม่แล้วเสร็จทั้งหมดอีกด้วยและสตง.พบปัญหาเช่นเดียวกับโครงการพื้นที่ท่องเที่ยวปลอดภัยสำหรับนักท่องเที่ยว ที่ไม่สามารถจัดกิจกรรมได้เนื่องจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 อย่างต่อเนื่อง
6. โครงการอาสาสมัครบริบาลท้องถิ่นเพื่อดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง งบ 1,081 ล้านบาท ของกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น
กระทรวงมหาดไทย พบว่ามีความเสี่ยงการทุจริตอยู่ในระดับกลาง และมีข้อเสนอแนะจากสำนักงาน ป.ป.ท. ว่ามีประเด็นที่ควรเฝ้าระวัง ดังนี้
- การคัดเลือกกลุ่มเป้าหมาย อาจคัดเลือกผู้สูงอายุที่เป็นคนของพวกพ้อง มีการช่วยเหลือในรูปแบบต่างๆ เพื่อให้ได้เข้าร่วมโครงการ
- การจ้างแรงงาน ผู้รับจ้างกับผู้สูงอายุอาจร่วมมือหรือตกลงกันในการดูแลซึ่งอาจไม่เป็นตามสัญญาจ้าง
- การจัดอบรม สัมมนา อาจมีผู้เข้าอบรมไม่ครบถ้วน มีการเบิกจ่ายไม่ตรงความเป็นจริงหรือมีการใช้จ่ายสูงกว่าราคาจริงและสตง. พบว่าเจ้าหน้าที่ไม่เพียงพอ เนื่องจากอาสาสมัครที่ผ่านการฝึกอบรม ได้มีการลาออกระหว่างปฏิบัติงานเพราะได้งานใหม่ที่ได้ค่าตอบแทนสูงกว่าผลตอบแทนของโครงการ เดือนละ 5,000 บาท ทำให้การดำเนินงานเสี่ยงไม่มีประสิทธิภาพ
7. โครงการพัฒนาตำบลแบบบูรณาการ (Tambon Smart Team) งบ 2,702 ล้านบาท ของกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย พบว่ามีความเสี่ยงการทุจริตอยู่ในระดับกลาง และมีข้อเสนอแนะจากสำนักงาน ป.ป.ท. ว่ามีประเด็นที่ควรเฝ้าระวัง ดังนี้
- การจ้างแรงงาน อาจมีการใช้ดุลยพินิจที่ไม่เป็นมาตรฐานเดียวกันทุกอำเภอ การใช้พวกพ้อง การเบิกจ่ายไม่ตรงกับความเป็นจริง
- การจัดซื้อจัดจ้าง อาจมีการเอื้อประโยชน์ให้กับพวกพ้อง การล็อกสเปก การจัดซื้อวัสดุต่างๆ อาจไม่มีความเหมาะสมในการใช้งานจริง
- งบประมาณอื่นๆ อาจมีการจัดทำเอกสารเท็จ ใช้จ่ายไม่ตรงวัตถุประสงค์และสตง. พบว่ามีความเสี่ยงเกี่ยวกับคุณภาพข้อมูลที่มีการจัดเก็บและการนำข้อมูลไปใช้ประโยชน์ ทำให้ส่งผลกระทบกับประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการพัฒนาพื้นที่ระดับต่างๆ ของโครงการ
8. โครงการเฝ้าระวังสร้างแนวกันไฟสร้างรายได้ชุมชน งบ 247 ล้านบาท ของกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พบว่ามีความเสี่ยงการทุจริตอยู่ในระดับกลาง มีข้อเสนอแนะจากสำนักงาน ป.ป.ท. ว่ามีประเด็นที่ควรเฝ้าระวัง คือ การจ้างแรงงาน ที่ในแต่ละขั้นตอนอาจมีการทุจริตได้ตั้งแต่การรับสมัคร ที่อาจให้พวกพ้องได้รับการคัดเลือกอาจมีการเรียกรับเงินหรือผลประโยชน์จากผู้สมัคร ไปจนถึงระหว่างการจ้างแรงงานอาจมีการเรียกรับ/หักหัวคิวจากผู้รับจ้าง การแบ่งผลประโยชน์ร่วมกัน การใช้บุคคลอื่นมาทำงานแทนหรือไม่เกิดการทำงานจริงตามสัญญาจ้าง และ สตง. ได้ตรวจพบปัญหาต่างๆ ที่โครงการอาจไม่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลที่จะสามารถดำเนินการให้สำเร็จตามแผนงานได้
จากข้อมูลข้างต้นจะเห็นได้ว่า เครื่องมือ ACT Ai ที่องค์กรต่อต้านคอร์รัปชันฯ พัฒนาขึ้นมานั้น เป็นประโยชน์จริงๆ สามารถแจ้งผลการประเมินความเสี่ยงการทุจริตของโครงการที่ยังไม่ได้จัดซื้อจัดจ้างจาก ป.ป.ท. และใช้ระบบประมวลผลความเสี่ยงการทุจริตของโครงการที่จัดซื้อจัดจ้างแล้วด้วย ข้อมูลเหล่านี้ประชาชนสามารถเข้าไปดูรายละเอียดได้ทั้งหมดที่ https://covid19.actai.co/ ยังมีโครงการอื่นๆ ที่น่าจับตามองและมีความเสี่ยงที่จะเกิดการทุจริตอีกเช่นกัน สามารถร่วมติดตามและแจ้งเบาะแสได้ที่ “จับโกง COVID ด้วย ACT Ai”
วันนี้ประชาชนมือเปล่าหาข้อมูลมามอบให้ถึงขนาดนี้แล้ว หน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องและมีอำนาจจัดการ ต้องรีบเข้าตรวจสอบโครงการเหล่านี้โดยเร่งด่วน อย่าให้งบประมาณที่จะมาช่วยเหลือเยียวยาประชาชนในช่วงวิกฤติโควิด-19 นี้ต้องเสียเปล่าไป แค่ต้องเผชิญกับโรคระบาดร้ายแรงอย่างเดียวประชาชนก็จะไม่ไหวแล้ว
อย่าได้ต้องถูกทับซ้ำด้วยวิกฤติโกงอีกเลย
รศ.ดร.ต่อตระกูล ยมนาค และ ผศ.ดร.ต่อภัสสร์ ยมนาค
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี