วันก่อน รู้สึกเวทนากับ สส.ฝ่ายค้าน ที่ออกมาโพสต์เรื่อง CPTPP แล้วโยงไปกับ ชื่อบริษัทเจ้าสัวยักษ์ใหญ่ในเชิงกล่าวหา ป้ายสีอย่างเลื่อนลอย
น่าสังเวช สะอิดสะเอียน กับคุณภาพของคนที่เป็นถึง สส.
ค้านมันทุกเรื่อง มั่วได้ทุกอย่าง โยงมันแบบจับแกะชนแกะ ยกเมฆก็เอาหมด
ขอแค่ได้ค้าน ได้ขวาง ได้โจมตี ได้มีซีนบ้าง
อุบาทว์มาก
วันนี้ ขออนุญาตสรุปข้อเขียนของ รศ.ดร.ปิติ ศรีแสงนาม เศรษฐศาสตร์ จุฬาฯ ว่าด้วยเรื่อง “ทำไมต้อง CPTPP? แค่ทำ FTA กับแคนาดาและเม็กซิโกไม่พอหรือ?”
เนื้อหาได้เรื่องได้ราว ได้ประเด็นสาระสำคัญ
ดังที่อาจารย์ปิติท่านว่า “รู้ไว้จะได้ไม่ถูกเขาหลอก ว่าต้องเลือก #NoCPTPP หรือ #YesCPTPP หรือ ไม่เลือก แต่แค่ขอไปเจรจาก่อน ถ้าดีค่อย Yes ถ้าไม่ดีค่อยNo แต่อย่าถูกหลอกให้ไม่ไปแม้แต่จะเจรจาเพื่อรักษาโอกาสและผลประโยชน์ของชาติ”
และ “เรื่องที่ซับซ้อน ไม่สามารถอธิบายได้ด้วย Hashtag สั้นๆ หรือ Infographic ได้ แต่ต้องอ่านจากข้อเท็จจริงที่อาจจะยาวและน่าเบื่อ แต่ในที่สุดเราจะเห็นว่า #ความจริงมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น”
ทำไมต้องเจรจา CPTPP?
ดร.ปิติ อธิบายว่า “...เราต้องทำความเข้าใจเสียก่อนว่า ข้อตกลงการค้าเสรี (Free Trade Agreement: #FTA) คือการที่ประเทศคู่เจรจาตกลงที่จะ ลด ละ เลิก มาตรการกีดกันทางการค้าระหว่างกัน ทั้งมาตรการภาษี และมาตรการทางการค้าที่มิใช่มาตรการทางภาษี (Non-Tariff Measures: #NTMs)
แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า ไทยจะสามารถส่งอะไรก็ได้ออกไปขายกับคู่เจรจาของเราแล้วได้สิทธิประโยชน์ภาษีศุลกากร 0% และไม่มี NTMs ทันทีโดยอัตโนมัติ
เราจะใช้สิทธิประโยชน์จาก FTA ได้ หรือเราจะสามารถค้าขายด้วยภาษี 0% และไม่มี NTMs ได้ก็ต่อเมื่อ สินค้าที่เราจะขายต้องมีถิ่นกำเนิดในประเทศไทย และ/หรือประเทศที่เรามี FTA ด้วยเท่านั้น เช่น ไทยจะส่งสินค้าออกไปขายที่ญี่ปุ่นและจะไม่ต้องถูกเก็บภาษีศุลกากรเมื่อนำเข้าไปในญี่ปุ่นได้ก็ต่อเมื่อ สินค้านั้นๆ มีถิ่นกำเนิดในประเทศไทยและ/หรือในประเทศญี่ปุ่นเท่านั้น เพราะนี่คือข้อตกลงระหว่างไทยกับญี่ปุ่นที่จะลด ละ เลิก สิ่งกีดกันทางการค้าระหว่างกัน ดังนั้น ไทยจะลักไก่ไปซื้อของจากฝรั่งเศสเข้ามาแล้วส่งออกไปขายที่ญี่ปุ่น แล้วขอให้ญี่ปุ่นไม่เก็บภาษีไม่ได้
นั่นหมายความว่า #กฎว่าด้วยถิ่นกำเนิด (Rules of Origin: #ROO) ซึ่งเป็นหลักการในการชี้บ่งว่าสินค้าใดมีถิ่นกำเนิดที่ไหน จึงมีความสำคัญมาก และในการเจรจา FTA ส่วนใหญ่ เรื่องที่เจรจายากและใช้เวลาในการเจรจายาวนานก็คือเรื่อง ROO นี้ล่ะ ที่มีความยุ่งยากซับซ้อนมาก แน่นอนสำหรับสินค้าเกษตร กฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดคงไม่ได้ยุ่งยากซับซ้อนมากมายนัก เพราะส่วนใหญ่เกือบทั้งหมดใช้กฎการใช้วัตถุดิบในประเทศทั้งหมด (Wholly Obtained: WO) เช่น ทุเรียน มังคุด มันสำปะหลัง การชี้บ่งว่าสินค้านี้เป็นสินค้าที่ผลิตในประเทศไทย เพื่อให้เราขอใช้สิทธิประโยชน์ไม่ต้องถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้าเมื่อเราส่งออกไปขายยังประเทศที่มี FTA ด้วยก็เป็นเรื่องไม่ซับซ้อน เพราะเราอยู่แล้วว่าทุเรียนผลนั้นเริ่มต้นจากต้นทุเรียนที่อยู่ในสวนในประเทศไทย จากดอก กลายเป็นผลอ่อน กลายเป็นผลโตเต็มไว เราก็สามารถส่งทุเรียนไปขายด้วยภาษี 0% กับประเทศที่เรามี FTA ได้ง่ายไม่ต้องพิสูจน์ถิ่นกำเนิดให้ยุ่งยากซับซ้อน
แต่กับสินค้าที่ผลิตในโรงงานอุตสาหกรรม การชี้บ่งว่าสินค้านี้มีถิ่นกำเนิดที่ไหนเป็นเรื่องที่ยุ่งยากซับซ้อนมากๆ เช่น รถยนต์กระบะ Toyota ที่มีโรงงานประกอบอยู่ในประเทศไทย เราจะสามารถบ่งชี้ได้หรือไม่ว่ารถกระบะคันนี้เป็นสินค้าที่มีถิ่นกำเนิดในไทย (อย่าลืมนะครับว่าชื่อ Toyota ก็บอกแล้วว่าเป็นรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่น) ในความเป็นจริงรถกระบะคันนี้อาจจะประกอบในไทย แต่ใช้ชิ้นส่วนจากทั่วโลก ในชิ้นส่วนนับพันๆ ชิ้นที่ประกอบขึ้นเป็นรถกระบะ 1 คัน มีทั้งชิ้นส่วน
ที่ผลิตในไทย ในจีน ในอาเซียน ในญี่ปุ่น และในที่ต่างๆ จากทั่วโลก แล้วแบบนี้เราจะบ่งชี้ถิ่นกำเนิดของรถยนต์คันนี้อย่างไร คำตอบคือ เราใช้หลักการที่เรียกว่า หลักการคำนวณมูลค่าเพิ่ม (Value Added Rule: VA หรือ Ad Valorem Rule)
ยกตัวอย่างเช่น ภายใต้ข้อตกลงการค้าเสรีไทย-ญี่ปุ่น (ชื่อทางการคือ ความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น Japan-Thailand Economic Partnership Agreement: JTEPA) อาจจะกำหนดไว้ว่า หากรถกระบะคันนี้มีมูลค่าของชิ้นส่วนที่ประกอบขึ้นเป็นรถคันนี้ที่ผลิตในไทย และ/หรือ ในญี่ปุ่น รวมกันสูงกว่า 40% (ตัวเลขสมมุติ) ให้ถือว่า รถยนต์คันนี้มีถิ่นกำเนิดในไทยและญี่ปุ่น ที่เพียงพอที่จะขอใช้สิทธิประโยชน์ในการส่งออกไปขายแล้วคิดภาษีศุลกากรที่ 0% และไม่มีข้อกีดกันทางการค้าระหว่างไทยกับญี่ปุ่นได้ โดยการขอใช้สิทธิประโยชน์นี้ ผู้ประกอบการต้องพิสูจน์กับกรมการค้าต่างประเทศ
อ่านมาถึงตรงนี้ผมเชื่อว่าคุณผู้อ่านคงจะเริ่มเห็นความแตกต่างระหว่าง การเจรจาเขตการค้าเสรีแบบทวิภาคี คือ 2 ประเทศ กับการเจรจาการค้าเสรีในระดับภูมิภาค ที่มีประเทศร่วมกันเจรจาหลายๆ ประเทศมีความแตกต่างกัน เพราะการเจรจาการค้าแบบภูมิภาคที่มีหลายๆ ประเทศจะทำให้เราสามารถสะสมถิ่นกำเนิดได้ (cumulative valueadded) โดยเฉพาะในโลกยุคที่การผลิตอยู่ในรูปแบบที่เรียกว่า ห่วงโซ่มูลค่าระดับโลก (Global Value Chains: #GVCs)
ลองนึกดูนะครับว่า ถ้าโทรศัพท์มือถือ 1 เครื่องมีชิ้นส่วนมากกว่า 300 ชิ้น ซึ่งแน่นอนมาจากหลากหลายประเทศทั่วโลก มีทั้งชิ้นส่วนที่มาจาก ไทย จากญี่ปุ่น จากจีน จากเกาหลี จากทั่วโลก ดังนั้นการนับมูลค่าเพิ่มแบบทวิภาคีแค่ 2 ประเทศ เราก็จะสะสมถิ่นกำเนิดได้แค่ 2 ประเทศ ซึ่งอาจจะไม่ถึงเกณฑ์ที่จะใช้สิทธิประโยชน์ได้ (เกณฑ์ VA ส่วนใหญ่จะอยู่ที่ 35-40%) เพราะโทรศัพท์มือถือเครื่องนั้นอาจจะมีมูลค่าชิ้นส่วนจากไทย 15% จากญี่ปุ่น 10% รวมกันแค่ 25% ซึ่งไม่พอ
แต่ในกรอบภูมิภาค เราอาจจะรวมถิ่นกำเนิดจากไทย 15% ของญี่ปุ่น 10% เข้ากับของ มาเลเซีย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และประเทศอื่นๆ ในอาเซียนจนครบ VA 40% ตามข้อตกลง และทำให้เราส่งออกไปขายในประเทศเหล่านี้ภายใต้ข้อตกลงการค้าเสรีอาเซียน-ญี่ปุ่น (ความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจ อาเซียน-ญี่ปุ่น ASEAN-Japan Comprehensive Economic Partnership: AJCEP) ได้ด้วยภาษี 0% นี่คือความแตกต่างระหว่างกรอบทวิภาคี กับกรอบภูมิภาค ที่กรอบภูมิภาคแน่นอนว่าอาจจะเจรจาได้ยุ่งยากซับซ้อนมากกว่า ใช้เวลานานกว่า แต่เมื่อเวลาที่บังคับใช้ข้อตกลง กรอบระดับภูมิภาคก็จะทำให้ผู้ประกอบการสามารถใช้สิทธิประโยชน์และเข้าสู่ตลาดได้มากขึ้น
กลับมาที่ CPTPP แน่นอนถึงแม้เราจะมีกรอบอื่นๆ อยู่แล้วที่เป็นการเปิดเสรีกับประเทศสมาชิกถึง 9 จาก 11 ประเทศ แต่อย่าลืมว่าหลายๆ ข้อตกลง เราก็ยังใช้ประโยชน์ไม่ได้เต็มที่ เช่น ในกรณีของชิลีและเปรูที่เจรจาการค้ามานานแต่ก็ยังไม่สามารถหาข้อสรุปได้ และแน่นอนข้อตกลงการค้าเสรีระหว่างไทยกับแคนาดา และไทยกับเม็กซิโกก็ยังไม่เกิดขึ้น ดังนั้นหากมี CPTPP จึงไม่ใช่เพียงแค่การมี FTA เพิ่มขึ้นกับอีกเพียง 2 ประเทศดังที่หลายฝ่ายกล่าว แต่ในโลกที่ไทยเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานที่เราต้องนำเข้าและส่งออกทั้งวัตถุดิบและสินค้า
ขั้นสุดท้าย ผู้ประกอบการของเราจะมีแต้มต่อเพิ่มมากยิ่งขึ้นหากมีข้อตกลงการค้าเสรีที่ครอบคลุมจำนวนสมาชิกเป็นจำนวนมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากกรอบนั้นๆ เป็นกรอบที่มีแหล่งวัตถุดิบ มีกำลังแรงงาน มีตลาดขนาดใหญ่ ซึ่ง CPTPP ก็เป็นกรอบหนึ่งที่มีคุณสมบัติเหล่านี้
และประเทศเพื่อนบ้านเรา เช่น เวียดนาม ก็ใช้ประโยชน์จากสิ่งนี้ในการดึงดูดเงินลงทุน เพราะนอกจาก FTA แบบทวิภาคีแล้ว เวียดนามเป็นอีกหนึ่งประเทศที่ถือเป็นแหล่งรวมข้อตกลงทางการค้าในกรอบภูมิภาค ไม่ว่าจะเป็น RCEP หรืออาเซียน+5, CPTPP, และกรอบล่าสุดคือ ข้อตกลงการค้าเสรีเวียดนาม-สหภาพยุโรป (ซึ่งมีสมาชิกถึง 27 ประเทศ) การมีอยู่ของข้อตกลงทางการค้าเหล่านี้ เป็นปัจจัยหนึ่ง ที่ทำให้นักลงทุนจากทั่วโลกเลือกที่จะเข้ามาตั้งโรงงาน เอาเงินเข้ามาลงทุนในเวียดนาม เพราะไม่ว่าจะอยู่ในห่วงโซ่อุปทานไหน เวียดนามก็มีสิทธิประโยชน์ มีแต้มต่อในเรื่องของการค้าและการลงทุน
และสำหรับ #คนไทยทั้งประเทศ ในฐานะที่เราเป็นผู้บริโภค เราซื้อ เรากิน เราใช้ สินค้า ทั้งจากในประเทศและต่างประเทศ ดังนั้นการมีข้อตกลงทางการค้าที่ครอบคลุมประเทศจำนวนมาก อย่าง #RCEP และ CPTPP ก็จะยิ่งทำให้ พวกเราทุกคน สามารถซื้อสินค้า กิน ใช้ สินค้า จากหลากหลายประเทศทั่วโลก ได้ในคุณภาพที่ดียิ่งขึ้น (ทั้งในมิติการคุ้มครองแรงงาน คุ้มครองสิ่งแวดล้อม ต้านการคอร์รัปชั่น คุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา) ในราคาที่ลดต่ำลง เพราะไม่มีข้อกีดกันทางการค้า”
ข้างต้น คือ คำอธิบายจาก รองศาสตราจารย์ ดร.ปิติ ศรีแสงนาม ทำให้เข้าใจว่า การค้าการขายการลงทุนระหว่างประเทศ และการจะได้ประโยชน์จากสิ่งเหล่านี้ มันมีรายละเอียดที่จะต้องทำงานต่ออีกมาก
อย่าให้ใครมาปลุกปั่นแบบเอาง่ายเข้าว่า เอาแต่ความสะใจ ไม่สนใจว่าเหรียญมันมีสองด้าน
พูดง่ายๆ ว่า ควรไปเจรจาก่อน ถ้าดีค่อยตกลง ถ้าไม่ดีก็ไม่เอา
แต่ถ้าจะขวางถึงขนาดไม่ให้ไปแม้แต่จะเจรจา เพื่อรักษาโอกาสและผลประโยชน์ของชาติ
น่าคิดว่า หากคัดค้านหัวชนฝาแบบนั้น มันเข้าทางอำนาจต่อรองและผลประโยชน์ของใคร?
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี