รัฐสภากำลังจะเปิดประชุมพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565
หลังจากที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบไปก่อนหน้านี้
นี่คือกฎหมายสำคัญที่มีเนื้อหากำหนดว่ารัฐบาล ฝ่ายบริหาร จะใช้จ่ายเงินแผ่นดินไปในโครงการไหน มากน้อยเพียงใด เพียงพอหรือไม่ จะจัดเก็บภาษี หรือหารายได้จากช่องทางไหนอย่างไร จะดูแลเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวขึ้นมาได้หรือไม่ ฯลฯ
1. ความไม่แน่นอน สถานการณ์ยังไม่นิ่ง
ก่อนประเทศไทยจะเกิดการแพร่ระบาดระลอก 3 เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ตัวเลขเศรษฐกิจของประเทศไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง ทั้งตัวเลขส่งออก การลุงทน ตัวเลขความเชื่อมั่นของสภาอุตสาหกรรม ฯลฯ
แต่เมื่อเกิดการแพร่ระบาดจนถึงปัจจุบัน ยังไม่ทราบว่าจะยุติลงไปได้เมื่อไหร่ เพราะครั้งนี้หนักที่สุด คือ พื้นที่ กทม.และปริมณฑล
เพราะฉะนั้น จึงยังอยู่ในภาวะความไม่แน่นอนว่าระบบเศรษฐกิจจะได้รับผลกระทบจากโควิดมากแค่ไหน
ผลที่ตามมา คือ การวางแผนว่าจะต้องใช้จ่ายงบประมาณแผ่นดินเพื่อดูแลเศรษฐกิจมิให้วูบดับจะต้องใช้มากน้อยแค่ไหน จึงยังไม่แน่ชัดตามไปด้วย
ตามเอกสารงบประมาณระบุว่า เศรษฐกิิจไทยในปีี 2564 คาดว่า จะขยายตััวในช่วงร้อยละ 2.5-3.5
ขณะที่เศรษฐกิิจไทยในปีี 2565 คาดว่า จะขยายตััวในช่วงร้อยละ 4.0-5.0
พูดง่ายๆ คือ ถ้าเศรษฐกิจปี 2564 ขยายตัวไม่ถึง 2.5% ก็เป็นอันว่า แผนการใช้จ่ายเงินตามงบประมาณฉบับนี้ ก็คงจะไม่เพียงพอที่จะเป็นเครื่องยนต์ฉุดกระชากเศรษฐกิจของประเทศ
และเศรษฐกิจปี 2564 จะขยายได้ขนาดไหน มันก็ขึ้นอยู่กับกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ซึ่งจนถึงปัจจุบัน
ก็ยังไม่สามารถกลับเข้าสู่ภาวะปกติ กิจกรรมการค้าการขายการลงทุนหลายๆ อย่าง ยังทำไม่ได้ เพราะยังต้องควบคุมโรคอยู่
2. จุดน่าสนใจในงบประมาณแผ่นดิน ปี’65
2.1 ปีงบประมาณ 2565 วงเงิินงบประมาณรายจ่าย 3,100,000 ล้านบาท (คิิดเป็นร้อยละ 17.87 ของจีดีพี)
ประมาณการรายได้สุุทธิิ 2,400,000 ล้้านบาท (คิดเป็นร้อยละ 13.84 ของจีดีพี)
วงเงิินกู้เพื่่อชดเชยการขาดดุุลงบประมาณ 700,000 ล้้านบาท (คิิดเป็นสััดส่วนร้อยละ 4.04 ของจีดีพี)
การขาดดุุลงบประมาณจำนวนดัังกล่าว ยังอยู่ในระดัับที่่ไม่ส่งผลกระทบต่อวิินััยและฐานะการคลัังของประเทศในระยะยาว
2.2 งบประมาณรายจ่ายการป้องกันประเทศลดลง รายจ่ายการรักษาความสงบภายในลดลง
ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการเสด็จพระราชดำเนินและต้อนรับประมุขต่างประเทศ ค่าใช้จ่ายตามโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ล้วนแต่ปรับลดลง
หน่วยงานที่ได้รับจัดสรรงบประมาณลดลงมากที่สุด ได้แก่
งบกลาง ลดลง 43,568 ล้านบาท
ทุนหมุนเวียน ลดลง 27,626 ล้านบาท (ตัดกองทุนหมุนเวียนต่างๆ)
กระทรวงศึกษา ลดลง 24,051 ล้านบาท
รัฐวิสาหกิจ ลดลง 23,105 ล้านบาท
กระทรวงแรงงาน ลดลง 19,977 ล้านบาท
กระทรวงมหาดไทย ลดลง 17,144 ล้านบาท
กระทรวงกลาโหม ลดลง 11,248 ล้านบาท เป็นต้น
กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ ได้รับงบเพิ่มขึ้น 2,323
ล้านบาท
2.3 ถ้าแบ่งสัดส่วนงบประมาณรายจ่าย ว่าให้น้ำหนักกับยุทธศาสตร์งานด้านไหนบ้าง จะพบว่า
ยุทธศาสตร์ด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม 733,749 ล้านบาท (23.7%)
ยุทธศาสตร์ด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ 559,300 ล้านบาท (18%)
ยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ 548,185 ล้านบาท (17.7%)
รายการค่าดำเนินการภาครัฐ (อาทิ ใช้หนี้ เป็นต้น) 412,706 ล้านบาท (13.3%)
ยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคง 387,909 ล้านบาท (12.5%)
ยุทธศาสตร์ด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน 338,547 ล้านบาท (10.9%)
ยุทธศาสตร์ด้านการสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม 119,600 ล้านบาท (3.8%)
2.4 ให้ความสำคัญกัับสวััสดิิการที่่จำเป็็นสำหรัับกลุ่มเปราะบางทางสัังคม เพื่่อให้มีีรายได้เพีียงพอในการดำรงชีีวิิต และลดความเสี่่ยงจากการได้รัับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
2.5 เพิ่่มประสิิทธิิภาพการจััดทำงบประมาณให้ครอบคลุุมทุกแหล่งเงิิน ได้แก่ เงิินงบประมาณของภาครััฐ
เงิินกู้ การร่วมลงทุุนระหว่างภาครััฐและเอกชน (Public Private Partnership) การลงทุุนของรััฐวิิสาหกิิจ การลงทุุนโดยใช้เงิินจากกองทุุน และการลงทุุนจากต่างประเทศ รวมทั้้งให้้หน่วยรัับงบประมาณที่่มีีเงิินนอกงบประมาณหรืือเงิินสะสมคงเหลืือ พิิจารณานำเงิินดัังกล่าวมาใช้ดำเนิินภารกิิจของหน่วยงานเป็็นลำดับแรก
ควบคู่กับการพิิจารณาทบทวนเพื่่อชะลอ ปรับลด หรืือยกเลิิกการดำเนิินโครงการที่่มีีความสำคัญในระดัับต่ำ หรืือหมดความจำเป็็น เพื่่อนำงบประมาณดัังกล่าวมาสนัับสนุุนนโยบายสำคัญ หรืือโครงการที่่มีีความสำคัญเร่งด่วน
มีีความพร้อมในการดำเนิินการสููง เพื่่อแก้ไขปััญหาสำคัญของประเทศ ลดความเหลื่่อมล้ำทางสัังคม และกระตุ้นเศรษฐกิิจให้เกิิดการขยายตััว
2.6 โครงสร้างงบประมาณปีี 2565
การจัดทำงบประมาณปี’65 เป็นไม่กี่ครั้งที่กำหนดยอดรวมงบประมาณลดลงจากปีก่อนหน้า
งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2565 จำนวน 3,100,000 ล้้านบาท
ลดลงจากปีีงบประมาณ พ.ศ. 2564 จำนวน 185,962.5 ล้านบาท (ลดลงร้อยละ 5.66)
จำแนกเป็น รายจ่ายประจำ 2,360,543 ล้านบาท
ลดลงจากปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 จำนวน 177,109.3 ล้านบาท (ลดลงร้้อยละ 6.98)
โดยรายจ่ายประจำดังกล่าว คิดเป็็นสััดส่วนร้อยละ 76.15 ของวงเงิินงบประมาณ (เทีียบกัับร้อยละ 77.23 ของปีีงบประมาณ พ.ศ. 2564)
เท่ากับว่า ทั้งจำนวนรายจ่ายประจำและสัดส่วนของรายจ่ายประจำล้วนลดลง ซึ่งเป็นทิศทางที่ถูกต้อง
ส่วนรายจ่ายลงทุน กำหนดไว้เป็นจำนวน 624,399.9 ล้านบาท
ลดลงจากปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 จำนวน 24,910.3 ล้านบาท (ลดลงร้อยละ 3.84)
โดยรายจ่ายลงทุุนดัังกล่าว คิดเป็็นสััดส่วนร้อยละ 20.14 ของวงเงิินงบประมาณ (เทีียบกัับร้อยละ 19.76 ของปีีงบประมาณ พ.ศ. 2564)
เท่ากับว่า จำนวนรายจ่ายลงทุนลดลงเล็กน้อยแต่สัดส่วนของรายจ่ายลงทุนก็ยังสูงขึ้น
2.7 กรณีงบประมาณรายจ่ายลงทุนมีจำนวนน้อยกว่าวงเงินส่วนที่ขาดดุลของงบประมาณที่กำหนดไว้ สำนักงบประมาณได้เสนอมาตรการดังกล่าวต่อคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบแล้วเมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2564 โดยการเพิ่มแหล่งเงินลงทุนของประเทศในช่องทางอื่นนอกเหนือจากงบประมาณรายจ่าย ได้แก่ (1) การให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ (PPP) (2) การลงทุนของหน่วยงานในกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย (THAILAND FUTURE FUND) และ (3) การใช้เงินกู้เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ตามมาตรา 22 แห่ง พ.ร.บ. การบริหารหนี้สาธารณะ 2548 ทั้งนี้ สำนักงบประมาณได้จัดทำคำชี้แจงเหตุผลความจำเป็นของมาตรการดังกล่าว และจะได้จัดทำคำแถลงต่อรัฐสภาต่อไป
3. พิจารณาจากพื้นฐานความเป็นจริงในขณะนี้ก็พอจะคาดการณ์ไม่ยากแล้วว่า รัฐบาลจำเป็นจะต้องมีแผน 2 หรือ Plan B เอาไว้แค่ไหนบ้าง
จึงไม่แปลกใจที่รัฐบาล โดยนายกฯ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จะออกมาประกาศให้วัคซีนเป็น “วาระแห่งชาติ” ของไทย เป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ประเทศไทยเดินหน้าต่อไปได้ ท่ามกลางสถานการณ์โควิดที่ยังไม่มีใครรู้ว่าจะจบลงเมื่อใด
นายกฯ ได้แง้มว่า “...นอกจากการควบคุมสถานการณ์ ที่เป็นเรื่องเร่งด่วนเฉพาะหน้าแล้ว สิ่งที่ผมและรัฐบาลพยายามคิดวางแผนทุกวัน ก็คือการช่วยเหลือเยียวยาประชาชนจากผลกระทบที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะการปิดสถานที่ต่างๆ ผมได้สั่งการให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด ติดตามดูแลเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด เพื่อควบคุมสถานการณ์ในแต่ละจังหวัดให้ได้ ปิดกั้นการลักลอบเข้าประเทศอย่างสูงสุด และประเมินสถานการณ์วันต่อวัน หากจังหวัดใด โดยเฉพาะจังหวัดโซนสีแดงที่มีการปิดสถานที่และข้อจำกัดต่างๆ มีสถานการณ์ที่ควบคุมได้ดีขึ้นแล้ว อาจพิจารณาผ่อนคลายเงื่อนไขต่อไป เพื่อให้พี่น้องประชาชนได้กลับไปสู่การทำมาค้าขาย การเดินทางท่องเที่ยวได้เช่นเดิม ซึ่งผมจะพิจารณาด้วยความรอบคอบ เพื่อรักษาสมดุล ทั้งทางสุขภาพและเศรษฐกิจที่ต้องเดินควบคู่กันไป
ส่วนในเรื่องของมาตรการทางเศรษฐกิจที่ครม.ได้พิจารณาในวันนี้ มีหลายประเด็นที่สำคัญ เช่น “โครงการพัฒนาและเสริมสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานราก” วงเงิน 45,000 ล้านบาท เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจท้องถิ่นและชุมชนบนพื้นฐานของโอกาสและศักยภาพของท้องถิ่น ซึ่งจะเร่งดำเนินการทันทีเมื่อสถานการณ์ของโควิดบรรเทาลง โดยจะมีคณะกรรมการ “ขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน” เป็นกลไกสำคัญ ภายใต้การติดตามของรองนายกรัฐมนตรีทุกคน
นอกจากนี้ ในวันนี้คณะรัฐมนตรียังได้มีมติเห็นชอบกับการเพิ่มเงินสนับสนุนในโครงการ “เราชนะ” อีกคนละ 1,000 บาท เป็นเวลาสองสัปดาห์ ซึ่งจะมีพี่น้องประชาชนได้รับประโยชน์จำนวนมากถึง 33.5 ล้านคน รวมทั้งการเพิ่มเงินช่วยเหลือผู้ประกันตนโครงการ ม33 เรารักกัน อีกสัปดาห์ละ 1,000 บาท เป็นระยะเวลา 2 สัปดาห์เช่นกัน และขยายเวลาของโครงการออกไป ถึงเดือนมิถุนายนนี้ ซึ่งจะสามารถช่วยเหลือพี่น้องประชาชนได้มากกว่า 8 ล้านคน
ทั้งหมดนี้ คือการทำงานอย่างเต็มที่ของผมและผู้เกี่ยวข้องทุกคน ที่ทำงานอย่างต่อเนื่องทุกวัน ไม่เว้นแม้แต่วันหยุด ในการวางแผนและดำเนินการช่วยเหลือพี่น้องประชาชน คลี่คลายสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 และบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจ ปากท้องของพี่น้องประชาชน เตรียมความพร้อมในการฟื้นฟูอนาคตประเทศไทย และตอบรับโอกาสที่กำลังจะมาถึง
ในขณะนี้ เราคนไทยทั้งประเทศ และทั่วโลก กำลังเผชิญหน้ากับศัตรูตัวร้ายที่เราไม่เคยพบเจอมาก่อน ที่ชื่อว่าไวรัสโควิด-19 และทางเดียวที่เราจะเอาชนะศัตรูตัวนี้ได้ ก็คือการร่วมแรงร่วมใจ ร่วมมือกันแก้ปัญหา ไม่ใช่การขัดแย้งหรือแตกแยกกัน อนาคตของประเทศไทยต่อจากนี้ จะขับเคลื่อนไปได้อย่างมั่นคงเพียงใด ก็ขึ้นอยู่กับเราทุกคน ที่จะต้องรวมใจให้เป็นหนึ่งเดียว แล้วก้าวเดินไปพร้อมกัน...” – 11 พ.ค. 2564 เฟซบุ๊ค ประยุทธ์ จันทร์โอชา
4. เราคนไทย หมดเวลาขัดแย้งกัน เตะขัดขากัน แย่งชิงอำนาจกัน (เหลือเวลาไม่กี่ปีก็เลือกตั้งใหม่)
เบื้องต้น จะต้องยุติภาวะแพร่ระบาดโควิดรอบนี้ให้ได้เร็วที่สุด และเดินหน้าฉีดวัคซีน
จากนั้น เดินหน้าเศรษฐกิจเต็มสูบ ช่วยเหลือธุรกิจและเศรษฐกิจชาวบ้าน
ผ่านงบประมาณแผ่นดิน ผ่านการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน การกู้เงินเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจขนานใหญ่
การสนับสนุนการลงทุนของเอกชน ฯลฯ
ประเทศชาติกำลังไต่ขอบเหว ยังจะไปแย่งพวงมาลัยจากโชเฟอร์อีกหรือ?
สันติสุข มะโรงศรี
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี