เมื่อไม่นานมานี้ ระหว่างที่ผมเปิดยูทูบ เพื่อหารายการที่น่าสนใจชม ก็เผอิญได้พบรายการสนทนาเรื่องการบ้านการเมืองระหว่างประเทศแบบหนึ่งต่อหนึ่ง ระหว่างอาจารย์มหาวิทยาลัย กับนาย George Yeo อดีตรัฐมนตรีหลายตำแหน่งของสิงคโปร์ (โดยเฉพาะรัฐมนตรีต่างประเทศ และยังเป็นอดีต สส. หลายสมัยอีกด้วย) ซึ่งผมให้ความเคารพนับถือทั้งในฐานะเพื่อน และนักการเมืองด้วยกัน
ในคลิปนั้น คุณ George Yeo ได้พูด 2 เรื่องที่น่าสนใจมาก และขอนำมาเป็นข้อคิดกันต่อไป
เรื่องแรก คุณ George Yeo ได้ให้ความเห็นว่า รัฐบาลหนึ่งใดอาจจะมีความเหมาะสมในการรับมือกับบางเรื่องบางราว แต่อาจจะไม่เหมาะสมกับเรื่องอื่นๆ ซึ่งการยอมรับของประชาชนพลเมืองก็ขึ้นอยู่กับวัฒนธรรมสังคมนั้นๆ ซึ่งก็มีนัยว่า ทั้งรัฐบาลและสังคมนั้นๆ จะก็ต้องมีขีดความสามารถในการปรับเปลี่ยน ปรับตัว ตามบริบทของสถานการณ์ และปัญหา
ส่วนเรื่องที่สอง คุณ George Yeo ได้กล่าวว่า การจะแก้ปัญหาความขัดแย้งในประเทศพม่า มิใช่อยู่ที่ประเด็นการรับรองฝ่ายกองทัพพม่า ว่าเป็นรัฐบาลที่ถูกต้องหรือไม่? แต่ประเด็นขึ้นอยู่กับที่ว่า ฝ่ายกองทัพพม่าเป็นพลังอำนาจ และทำการยึดอำนาจส่วนใหญ่ของประเทศพม่าไว้ในมือไปเรียบร้อยแล้ว ฉะนั้น ในสภาพแห่งความเป็นจริงแล้ว ก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องทำการเจรจาต่อรองกับฝ่ายกองทัพพม่า หรือจะพูดจาด้วย ไม่ว่าจะเป็นการเจรจาโดยประชาคมโลก หรือฝ่ายอื่นๆ ของพม่าก็ตามที
หลังจากที่ผมนั่งขบคิด ก็ได้มีโน้ตส่วนตัวไปถึงคุณ George Yeo แสดงความชื่นชมต่อบทสนทนาเชิงถามตอบว่า เขาเป็นนักคิดแบบยืนอยู่กับความเป็นจริง (Realist) และมองโลกจากสภาพความเป็นจริง เพื่อจะได้นำไปสู่การแก้ไขปัญหาต่างๆ
จากการนี้ผมก็หวนคิดกลับมาที่ประเทศไทย และก็เริ่มคิดว่า กองทัพไทยนั้นก็เป็นส่วนหนึ่งของบ้านเมือง และมีบทบาทในความเป็นไปของบ้านเมือง
ตลอดประวัติศาสตร์แห่งความเป็นเอกราชและราชอาณาจักรของไทย
ผมยังคิดแยกแยะอีกว่า กองทัพไทยนั้นแยกเป็นระหว่างฝ่ายกองทัพที่เป็นพลังอันสำคัญของบ้านเมือง กับฝ่ายกองทัพที่เป็นผู้เล่นการเมือง
ที่ผ่านมาก็มักจะมีบรรดาผู้นำฝ่ายกองทัพมีความทะเยอทะยานในตำแหน่งหน้าที่ทางการเมืองและได้นำกองทัพเข้าพัวพันกับชีวิตการเมืองจนทำให้เกิดความปั่นป่วนในสังคมไทย และความก้าวกลับไปกลับมาของความเป็นประชาธิปไตยของสังคมไทย
ฉะนั้น ผมจึงคิดว่าเพื่อเป็นทางออก ฝ่ายกองทัพจะต้องคงความเป็นพลังส่วนหนึ่งของบ้านเมืองต่อไป แต่ไม่จำเป็นจะต้องมาเป็นส่วนหนึ่งบนเวทีการเมืองไทย ซึ่งกองทัพไทยต้องปล่อยให้เวทีการเมืองเป็นพื้นที่ของฝ่ายพลเรือนการเมือง หรือฝ่ายนักการเมือง
และเมื่อจะกำหนดให้ฝ่ายกองทัพเป็นพลังส่วนหนึ่งของบ้านเมือง ก็ต้องมีการมานิยามและกำหนดกันว่าเป็นอย่างไร ซึ่งก็ต้องมาร่วมกันคิด ร่วมกันหารือ เพื่อหาข้อยุติ
ในชั้นนี้ ผมก็ขอเสนอเป็นจุดเริ่มต้นของการเสวนาปรึกษาหารือว่า ฝ่ายกองทัพมีองค์พระมหากษัตริย์เป็นจอมทัพ ก็ต้องมิทำการใดๆ เกินพระพักตร์ พระเนตร พระกรรณ แต่มีหน้าที่ในการถวายรายงานเพื่อประโยชน์สุขของบ้านเมือง
ในขณะเดียวกัน ฝ่ายกองทัพก็น่าจะกระทำตนเป็นเสมือนเสียงแห่งความสำนึกชอบธรรม หรือเป็นสติให้กับบ้านเมืองได้ เพื่อช่วยป้องกันมิให้มีการใดที่จะนำไปสู่การบ่อนทำลายชาติบ้านเมือง
ฝ่ายกองทัพก็สามารถเป็นองค์กรกลางที่สำคัญอันหนึ่งในการสอดส่องดูแลบทบาทของฝ่ายต่างๆ ที่ทำการบริหารบ้านเมือง และที่ทำมาค้าขาย เพื่อให้มีการเคารพกฎเกณฑ์กติกา และป้องกันมิให้มีการเอารัดเอาเปรียบใดๆ ทั้งสิ้น
นอกจากนั้น ประเทศไทยก็ควรจะมีสภาความมั่นคงแห่งศีลธรรม ที่ฝ่ายกองทัพจะมีส่วนร่วมเพื่อเป็นองค์กรสอดส่องดูแล และทานการใช้อำนาจโดยมิชอบขององค์กรอำนาจรัฐต่างๆ และองค์กรสำคัญๆ ของสังคมอีกด้วย
ก็ขอเสนอมาดังนี้ เพื่อเป็นข้อคิดเบื้องต้นให้กับทุกคนเอาไปขบคิดกันต่อครับ
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี