สังคมทั่วไป เมื่อมีประเด็นปัญหาขึ้นมา ก็ควรที่จะได้หันหน้าพูดจากัน แต่สังคมไทยวันนี้ กลับกลายมีแต่การกล่าวหา โจมตี ให้ร้ายตัวบุคคล ก่อนจะแปลงสภาพตัวตนให้เป็นคู่อริ คู่ต่อสู้กันอย่างถาวร
ด้วยสถานการณ์ดังกล่าว จึงทำให้การแสดงออก การยอมรับซึ่งความต่างในความคิดเห็น การคิดสร้างเวทีพูดจาแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นกันในสังคมไทยถูกจำกัดโดยปริยาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับบรรดาผู้นำการเมืองระดับต่างๆ ที่มักทำตัวล่องลอยอยู่ในอากาศ ชาวบ้านจะไปแตะต้อง ท้วงติงอะไรไม่ได้ เสมือนเป็นเทพมากกว่ามนุษย์เดินดินผู้อาสาเข้ามารับใช้ประชาชนพลเมืองและบ้านเมือง
ดูจากตัวเลขคะแนนเสียงฝ่ายสนับสนุนรัฐบาลในรัฐสภาก็ดูมั่นคงดี ฝ่ายค้านก็แสนจะอ่อนแอ บรรดาข้าราชการทั้งหมด ทุกประเภท ก็เข้าแถวเชื่อฟัง เอาใจ ตอบสนองกลุ่มผู้นำประเทศ องค์กรอิสระต่างๆ ที่เคยได้รับความเชื่อถือ น่าเกรงขาม น่ากลัวก็ค่อยๆ จางหายตกหล่นไปจากสายตาและความรู้สึกของประชาชนพลเมือง เพราะต่างซุ่มตัวอยู่อย่างเงียบๆ ไม่แสดงออกใดๆ ต่อประเด็นปัญหาบ้านเมือง พยายามทำตัวให้ไม่ตกเป็นข่าว งานการทำมากน้อย หรือไม่ทำอะไร ก็ไม่มีผู้ใดรู้ ทำนองรักษาตัวมากกว่ารักษาชาติ สิ่งเหล่านี้แม้จะไม่ค่อยมีหวัง แต่ประชาชนพลเมืองไทยก็ยังทู่ซี้หวังในใจกันว่า ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นคงจะดีขึ้นในอนาคตไม่ช้า
ด้วยคุณภาพต่ำต้อยของฝ่ายการเมือง ความทะเยอทะยานของบุคลากรในกองทัพ การอยู่กับความสนองของฝ่ายข้าราชการ การไม่อยู่กับร่องกับรอยของบรรดาองค์กรอิสระต่างๆ ได้ส่งผลให้ราชอาณาจักรไทยตกอยู่ในยุคมืดทางสติปัญญา จิตสำนึก ศีลธรรมและความรับผิดชอบ แม้กลุ่มที่ดูจะเป็นความหวังมาในอดีตอย่างแวดวงปัญญาชน และวิชาการนั้น ก็ดันมุ่งใช้แต่หลักรักษาตัวรอดเป็นยอดดี ความหวังของประชาชนชาวไทยในการที่จะดำรงความถูกต้องก็เลยยิ่งดูริบหรี่
ล่าสุด ที่เป็นการซ้ำเติมสถานการณ์ก็คือการที่ ฝ่ายกระบวนการตุลาการ (ผู้ที่ควรจะเป็นปราการสุดท้ายในการรักษาความถูกต้องของสังคม) ตัดสินคดี ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า
จากเอกสาร และข่าวต่างๆ ได้แสดงให้เห็นว่า ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ในวัยหนุ่มนั้นมีชีวิตที่โลดโผนชนิดหาผู้ใดเสมอเหมือนไม่เพราะถึงขนาดเคยได้ขึ้นศาลติดคุกติดตะรางในต่างแดนมาแล้ว เมื่อพ้นโทษออกมา ก็เดินทางกลับมาประเทศไทย และเริ่มสร้างเนื้อสร้างตัว จนสามารถไต่เต้าขึ้นมาดำรงตำแหน่ง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในรัฐบาลปัจจุบันได้
ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ก็เห็นว่า ได้ล้างตัวด้วยการชดใช้ความผิดกันไปแล้ว ก็น่าจะสามารถเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่บริสุทธิ์ผุดผ่องได้ จึงกล้าที่จะอาสาตนเองเข้ามารับใช้ชาติบ้านเมือง
ซึ่งก็ผ่านการคัดกรองของพรรคที่สังกัด (โดยเป็นถึงหนึ่งในแกนนำของพรรค) ผ่านการตรวจสอบของคณะกรรมการการเลือกตั้ง และคณะกรรมการปราบปรามการทุจริตมิชอบ สามารถลงสมัครรับเลือกตั้งได้ รวมทั้งได้รับเสียงของประชาชนพลเมืองให้ชนะการเลือกตั้งเข้ามาเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จ.พะเยา
บางท่านได้ฟังข้อมูลดังกล่าวแล้ว ก็คงปราศจากข้อสงสัยในตัวคุณธรรมนัสไป
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อมีกระบวนการรับรองความถูกต้องเหมาะสมของคุณธรรมนัส จากศาลรัฐธรรมนูญ ที่มีมติเอกฉันท์9 ต่อ 0 เสียง ว่า เรื่องราวที่เกี่ยวกับคดีความของคุณธรรมนัสพรหมเผ่า นั้น เกิดขึ้นที่ประเทศออสเตรเลีย มิได้เกิดขึ้นที่ประเทศไทย ฉะนั้น จึงไม่เกี่ยวข้องอะไรกับประเทศไทย โดยมีคำตัดสินบนพื้นฐานที่ว่า คดีที่เกิดขึ้นที่ประเทศหนึ่งไม่เกี่ยวกับประเทศที่บุคลากรของประเทศเป็นผู้เกี่ยวข้องด้วย ซึ่งดูเป็นหลักกฎหมายไทยแท้ๆ จัดได้ว่าเป็นแบบไทยคิดเอง ทำเอง เพราะเป็นสิทธิของไทยเป็นการเฉพาะ
เอาล่ะ ถ้าจะกล่าวกันโดยอิงหลักนิติศาสตร์แบบนั้น ก็คงไม่มีใครไปถกเถียงกันได้ แต่อย่าลืมว่า ศาลรัฐธรรมนูญนั้น ประกอบขึ้นด้วยหลักนิติศาสตร์ และรัฐศาสตร์ ซึ่งหลักรัฐศาสตร์นั้นยังต้องมองในแง่ศีลธรรม ความชอบธรรม ซึ่งผูกพันกับความสง่างามทางการเมืองของตัวองค์บุคคล
นั่นจึงมีประเด็นที่ศาลรัฐธรรมนูญจะต้องถามตัวเองเพิ่มว่า บุคคลหนึ่งใดที่ประพฤติผิดข้อหาร้ายแรงในต่างประเทศ (และมีข้อหาเดียวกันนี้ในประเทศไทย) นั้น เหมาะสมที่จะมาอยู่ในสนามการเมืองไทยหรือไม่? โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มาเป็นผู้มีอำนาจในระดับบริหารกระทรวงฯ อย่างการเป็นรัฐมนตรี ซึ่งถือเป็นบุคคลสาธารณะทางการเมือง เป็นบุคคลต้นแบบทางสังคม
แต่เมื่อศาลรัฐธรรมนูญเล่นยืนกระต่ายขาเดียวอยู่บนหลักการนิติศาสตร์ และเล่นประเด็นเดียวดังกล่าว มันก็เลยทำให้ประชาชนคาใจ และรู้สึกว่า ศาลรัฐธรรมนูญนั้นพยายามที่จะหากฎเกณฑ์กติกาอะไรก็ได้ที่เข้าทาง มาเป็นตัวตั้งหลัก เพื่อที่จะได้ไม่ต้องไปแตะตัวคุณธรรมนัส พรหมเผ่า
แม้จะประสบความสำเร็จในแง่ผลตัดสิน แต่กลับล้มเหลวในแง่ความเชื่อมั่นของสังคม เพราะประชาชนต่างคาใจอยู่ดี ซึ่งครั้งนี้ไม่เพียงแค่ตัวคุณธรรมนัส พรหมเผ่า หากแต่ยังลามไปยังพรรคการเมืองที่สังกัด คณะรัฐมนตรี ตัวนายกฯ และที่สำคัญ คือลามไปยังศาลรัฐธรรมนูญว่า ตกลงแล้วจริยธรรมและความเหมาะสมทางการเมืองมันอยู่ตรงไหนกันแน่? เพราะพวกท่านได้ทำการรับรองให้บุคคลที่มีประวัติถึงคุกถึงตะรางในคดีร้ายแรง (ซึ่งแม้จะเป็นความผิดที่เกิดขึ้นในต่างประเทศ) สามารถอาสามาลงสนามการเมือง และดำรงตำแหน่งบริหารประเทศได้
ยิ่งหากมีตำแหน่งใหญ่โต แต่กลับไม่มีความสง่างามไม่ถูกต้องตามจริยธรรมแล้ว นอกจากจะเสียชื่อตนเอง เสียชื่อวงศ์ตระกูลแล้ว มันยังจะเสียไปถึงสถาบันต่างๆ ที่ตนเองสังกัดอีกด้วย ซึ่งผลคำตัดสินในกรณี ร.อ.ธรรมนัส นี้ มันได้ทำให้สังคมคาใจ และเจ็บปวดใจ ถึงขนาดที่รำพึงรำพันกันว่า กระบวนการตุลาการของไทยยังจะเป็นที่พึ่งของคนไทยได้หรือไม่?
ก็ขอฝากไว้ให้บรรดาผู้มีอำนาจได้ฉุกคิดกันสักหน่อยว่า ชีวิตคนเรานั้น หากเลือกที่จะทำอะไรเพื่อสังคมแล้ว ก็ไม่ได้จำเป็นจะต้องไปมีตำแหน่งทางการเมืองใดๆ มาติดหน้าอก เป็นคนทั่วไปก็สามารถทำอะไรๆ ได้อีกมากมายให้แก่สังคม ให้แก่ประเทศชาติได้
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี