มีผู้ตั้งคำถามว่า รากเหง้าของความแตกแยกความคิดทางการเมืองของคนในสังคมไทยเกิดมาจากเหตุปัจจัยใด เกิดมาเมื่อใด แล้วจะมีทางขุดรากถอนโคนรากเหง้าของปัญหาได้หรือไม่
มีอีกคำถามหนึ่งคือ เมื่อไรสังคมไทยจะมีความสงบสันติ ประชาชนยุติการฆ่าฟันประหัตประหารกันและกันด้วยความคิดเห็นทางการเมือง
ก่อนที่จะตอบคำถามเหล่านี้ ก็ขอถามกลับว่า ทำไมคนเรา ไม่ว่าจะเป็นพี่เป็นน้องในครอบครัวเดียวกัน เป็นเพื่อนกันมาก่อน เป็นหัวหน้ากับลูกน้อง และเป็นคนที่เคยรู้จักสนิทสนมกันมาก่อน แต่กลับต้องกลายเป็นศัตรูกัน เพราะเรื่องการเมือง (อันที่จริงต้องบอกว่าเรื่องของนักการเมืองมากกว่า)
ถามจริงๆ เถอะว่า ในฐานะประชาชน มันมีเหตุจำเป็นอันใดหรือที่ต้องประหัตประหารกันและกัน เพราะว่าแต่ละฝ่ายมีความเห็นทางการเมืองต่างกัน
แต่ไม่ว่าประชาชนจะมีความเห็นทางการเมืองต่างกันมากสักเพียงใด ประชาชนก็ควรจะต้องสำเหนียกไว้เสมอว่า สุดท้ายแล้วผู้มีอำนาจรัฐไม่ว่าจะยุคใดสมัยใด
ก็ไม่เคยมองเห็นหัวของประชาชนแม้แต่น้อย เพราะเมื่อผู้มีอำนาจรัฐครอบครองอำนาจรัฐไว้ได้แล้ว เขาก็คือผู้ครอบครองผลประโยชน์สาธารณะส่วนใหญ่ไว้ใน
กำมือ แต่ประชาชนก็ได้แค่เพียงเศษซากของอำนาจที่ผู้มีอำนาจรัฐใช้ปลายเท้าเขี่ยให้เสพกินประทังชีวิตไปวันๆ เท่านั้น
หากประชาชนไทยศึกษาประวัติศาสตร์การเมืองอย่างลึกซึ้ง จะพบว่าบ้านเมืองของเราเกิดความแตกแยกความคิดเห็นทางการเมืองมายาวนานหลายทศวรรษ ประชาชนจำนวนมากต้องบาดเจ็บล้มตายไปแล้วจนนับจำนวนไม่ถ้วน สภาพมิคสัญญีกลียุคเกิดขึ้นในบ้านเมืองของเรามาครั้งแล้วครั้งเล่า แต่คำถามคือทำไมประชาชนไทยไม่จดจำบทเรียนที่แสนน่าสังเวชเหล่านั้น ทำไมคนไทยจึงปล่อยให้เกิดเรื่องน่าสังเวชขึ้นได้เป็นประจำ ทั้งๆ ที่เมื่อเกิดความเสียหายขึ้นมาแล้ว ผู้ที่เสียหายโดยตรง และเสียหายมากที่สุดก็คือประชาชน
ทุกครั้งเมื่อเกิดความขัดแย้งทางความคิดทางการเมืองในหมู่ประชาชน ก็จะมีพฤติกรรมซ้ำเดิมเกิดขึ้นตลอดเวลา เช่น ปิดถนนประท้วงแล้วตามมาด้วยความรุนแรงสารพัดชนิด ยึดสถานที่ราชการแล้วเผาทำลายทรัพย์สินสาธารณะ มีการจงใจกระทำละเมิดกฎหมายตลอดเวลา แต่ระยะหลังๆ จะพบว่ามีการจงใจแสดงการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพอย่างโจ่งแจ้งเสมอๆ
สิ่งที่น่าสังเกตอีกประการคือ เมื่อคนในสังคมไทยเกิดความขัดแย้งทางการเมือง สาธารณชนจะพบว่านักการเมืองก็คืออีกปัจจัยหนึ่งที่เป็นตัวเร่งเร้าให้เกิดความขัดแย้งที่หนักมากขึ้น จนกลายเป็นว่าตัวการสำคัญที่ช่วยโหมไฟใส่ฟืนให้การประท้วงเกิดความรุนแรงมากยิ่งขึ้นคือนักการเมือง ถามว่าทำไมนักการเมืองไทยบางกลุ่มบางพวกจึงมีพฤติกรรมสามานย์ได้ถึงเพียงนี้ จนกล่าวได้ว่าตัวการทำลายบรรยากาศความสมานฉันท์ ความปรองดองของบ้านเมืองก็คือนักการเมือง และผู้มีอำนาจรัฐ
ทุกครั้งเมื่อบ้านเมืองเกิดความแตกแยก เราไม่เคยพบเห็นแม้แต่ครั้งเดียวว่านักการเมืองจะช่วยลดและบรรเทาความแตกแยก แต่กลับกลายเป็นว่านักการเมืองคือตัวการทำให้ประชาชนแตกแยกหนักมากกว่าเดิม แบ่งเป็นขั้วเป็นก๊กเป็นเหล่าหนักกว่าเดิม จนเปรียบเสมือนเกิดสงครามตัวแทนระหว่างพรรคการเมือง แล้วสุดท้ายประชาชนที่รู้ไม่เท่าทันกลเกมอุบาทว์ของนักการเมืองก็ถูกนักการเมืองปั่นหัวให้ออกไปประหัตประหารกันเองจนกลายเป็นเหตุเลือดท่วมท้องช้าง นองปฐพีในที่สุด
กล่าวได้ว่า ประชาชนไม่เคยเห็นนักการเมืองไทยยุคไหนจะช่วยสร้างบรรยากาศแห่งความสมานฉันท์ และความปรองดองให้เกิดขึ้นบนประเทศไทยแม้แต่ครั้งเดียว แต่กลับพบว่านักการเมืองจะอ้างเพียงแค่การใช้เสียงข้างมากแบบรวบรัดเพื่อเอาชนะกันทางการเมือง โดยไม่คำนึงถึงความสูญเสียใดๆ ที่จะเกิดกับประชาชนในที่สุด
เราไม่เคยพบว่านักการเมืองจะร่วมมือกันเปิดเวทีสาธารณะให้มากที่สุดให้ทั่วประเทศเพื่อให้ประชาชนร่วมกันแสวงหาทางออกร่วมกันอย่างสันติโดยใช้การเจรจากันด้วยเหตุด้วยผล ให้ทุกฝ่ายเสนอทางออก และทางเลือกของการแก้ปัญหาอย่างสันติด้วยวิธีร่วมเสวนาหาทางออกให้กันและกัน
การสร้างสันติสุข และความปรองดองอย่างแท้จริงให้กับสังคมต้องอยู่บนพื้นฐานของการร่วมกันคิด ร่วมกันแก้ ร่วมกันหาทางออก โดยผ่านการพูดจาหารือกันด้วยความเข้าอกเข้าใจ รับฟังกันและกัน จนทำให้ทุกฝ่ายก้าวออกมาจากจุดยืนและมุมมองของตน ซึ่งเท่ากับช่วยลดการเผชิญหน้าระหว่างกันได้ดีที่สุด เมื่อทุกฝ่ายก้าวออกมาจากจุดยืนที่แตกต่างกัน แล้วสามารถหาจุดยืนร่วมกันได้หนทางแห่งการแก้ปัญหาก็จะกระจ่างชัดขึ้น ความแตกแยกก็จะลดและหายไป ความสงบสันติก็จะเกิดตามมาในที่สุด ซึ่งแนวทางแห่งความสงบสันตินี้จะมาจากการได้พูดคุยกันอย่างเปิดอก พูดคุยกันด้วยความเข้าอกเข้าใจกันและกัน (dialogue) ซึ่งนี้คือหนทางสำคัญของการสร้างสมานฉันท์และความปรองดองในหมู่ประชาชน
ไม่ต้องย้อนประวัติศาสตร์ไปไกลมากนัก เอาแค่เพียงการย้อนดูประวัติศาสตร์การเมืองไทยตั้งแต่ปี 2549 ถึงปัจจุบัน ก็จะพบแล้วว่าเกิดความขัดแย้งทางการเมืองมาแล้วหลายสิบครั้ง ทำความเสียหายให้บ้านเมืองมาแล้วอย่างชนิดที่ไม่สามารถประเมินค่าความเสียหายได้อย่างชัดเจน ผู้คนต้องบาดเจ็บล้มตายไปเป็นจำนวนมาก (ตัวเลขทางการระบุว่าไม่ต่ำกว่า 100 คน) อาคารสถานที่และทรัพย์สินต่างๆ ทั้งของราชการและของส่วนบุคคลต้องเสียหายไปอีกมากมาย สิ่งเหล่านี้ล้วนประจักษ์ชัดมาโดยตลอด แต่สิ่งเหล่านี้ก็หาได้ให้บทเรียนกับประชาชนไม่ เพราะยังคงมีการทำผิดพลาดซ้ำเดิมเป็นประจำ
เมื่อเกิดความคิดเห็นทางการเมืองแตกแยกกันในหมู่ประชาชน ประชาชนก็ไม่สามารถพูดคุยแสดงความคิดเห็นทางการเมืองระหว่างกันอย่างฉันมิตรได้ แต่กลับเกิดความบาดหมาง คลางแคลงใจ เกิดความหวาดวิตกกันเองมากขึ้น จนในที่สุดเกิดเป็นความเกลียดชังระหว่างกันเอง จนไม่สามารถอยู่ร่วมสังคมกันด้วยความสงบสุขได้ บางฝ่ายบ่มเพาะเชื้อแห่งความเกลียดชังกันและกันมากขึ้นจนสามารถฆ่าล้างทำลายชีวิตผู้ที่เห็นต่างทางการเมือง บางฝ่ายเลือกรับฟังรับชมและเสพเฉพาะข่าวสารที่มาจากฝ่ายที่ตนเชื่อเท่านั้น ไม่เปิดใจรับฟังความเห็นของฝ่ายที่เห็นไม่เหมือนตน ในขณะที่สื่อมวลชนจำนวนไม่น้อยก็มีส่วนช่วยโหมไฟใส่ฟืนให้เกิดความเกลียดชังระหว่างประชาชนหนักขึ้นตลอดเวลา
มีคำถามย้ำว่า ทำไมสังคมไทยจึงเกิดสภาพแตกแยกความคิดทางการเมืองได้หนักถึงเพียงนี้ มีใครเคยคิดคำนวณบ้างไหมว่าความเสียหายที่บังเกิดกับสังคมเพราะความแตกแยกทางการเมืองคิดเป็นมูลค่าเท่าไร อะไรคือมูลเหตุของความร้าวฉานแตกแยกของสังคมไทย อะไรคือตัวการทำให้ความสัมพันธ์อันดีภายในครอบครัวพังทลายลงไป แล้วอะไรคือตัวการทำลายล้างมิตรภาพแห่งความเป็นเพื่อนให้สิ้นสลายลง
บางคนพยายามอธิบายว่าต้นตอของปัญหานี้ มาจากการแย่งชิงอำนาจทางการเมืองของคนกลุ่มต่างๆ ในนามนักการเมืองและพรรคการเมือง บางคนพยายามอธิบายว่าต้นตอปัญหาเกิดมาจากการทุจริตฉ้อฉลปล้นประเทศจากการประพฤติมิชอบของผู้มีอำนาจรัฐ บางฝ่ายอธิบายว่าเกิดมาจากความไม่เป็นธรรม ความไม่เท่าเทียมกัน และจากช่องว่างภายในสังคมโดยเฉพาะระหว่างคนจนกับคนรวย ทำให้คนจนหมดโอกาสเข้าถึงการได้ครอบครองทรัพยากรสาธารณะไปโดยปริยาย
ไม่ว่าใครจะยกเหตุผลเพื่ออธิบายความแตกแยกของสังคมในรูปแบบใดก็ตาม สำหรับผู้เขียนเองนั้น กลับมองว่าความแตกแยกใดๆ ที่เกิดกับสังคมไทยล้วนมาจากความคิดของประชาชนเป็นสำคัญ หากประชาชนส่วนใหญ่ยังคิดว่าตนเองคือหุ่นกระบอก หุ่นเชิดของนักการเมืองสังคมไทยก็อาจจะไม่มีวันสงบสุขได้อีกเลย แต่หากประชาชนรู้เท่าทันกลอุบายสามานย์ของนักการเมืองอย่างลึกซึ้งแล้ว ประเทศไทย สังคมไทยก็สามารถกลับไปอยู่ในสภาวะสุขสงบ สมานฉันท์ ปรองดองได้อย่างแน่นอน
คำถามทิ้งท้ายคือ ประชาชนส่วนใหญ่เห็นความสำคัญของตัวเองบ้างไหม หากประชาชนส่วนใหญ่มองว่าตัวเองเป็นนายของนักการเมือง ปัญหาความแตกแยกจะเบาบางแล้วหมดไป แต่หากมองว่าตนเองเป็นขี้ข้าเป็นเบี้ยล่างของนักการเมือง สังคมไทยก็จะไม่มีวันสงบสุขอีกต่อไป
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี