ในวันที่สังคมไทย “สะเทือนใจ” กับพฤติกรรมของ“ไฮโซลูกนัท” ที่ต้องสงสัยจากสังคมว่า กระทำการล้อเลียนหรือเลียนแบบในหลวงรัชกาลที่ 9 จนเกิดคำตำหนิ ต่อว่า ขึ้นมากมาย ผมเองได้เขียนบทกวีและโพสต์ผ่านเพจ ปู จิตกร บุษบา ว่า...
“กล้องถ่ายรูป” ท่านใช้ส่องมองปัญหา
เพื่อจะนำกลับมาคิดแก้ไข
ท่านจึงเป็น “พ่อหลวง” ในดวงใจ
ท่านเปลี่ยนภาพแผ่นดินไทย...นักต่อนัก
สมุดจด กล้องถ่ายรูป และแผนที่
คือแผ่นดินผืนนี้ที่ประจักษ์
รู้ว่าท่านห่วงใยสุดใจรัก
คนไทยจึงพร้อมพรัก...รักพระองค์
“กล้องถ่ายรูป” ท่านใช้ส่องมองชีวิต
เพ่งพินิจด้วยห่วงใยใช่ความหลง
เป็นจิตสูงที่มองไปด้วยใจตรง
มิตกต่ำดิ่งลงด้วยใครล้อ
สมุดจด กล้องถ่ายรูป และแผนที่
เป็นวิถีที่พระองค์มุ่งส่งต่อ
ให้คิดเร่งแก้ปัญหาอย่ารีรอ
กล้องของ “พ่อ” -ใช้ตรองตรึก-บันทึกแผ่นดิน.
ผมคิดว่า ทุกครั้งที่เกิดเหตุแบบนี้ขึ้น พ้นจากความโกรธและการผลิตคำด่าทอต่อว่า ด้านสว่างที่เกิดควบคู่กันขึ้นมาคือการสามัคคีกันแสดงความรัก ความเทิดทูน และ “ประกาศ”คุณความดีของพระองค์ท่าน กึกก้องไปหมด
เช่นเรื่องนี้ ซึ่งเคยเผยแพร่โดย “มติชน” เรื่องของ “กล้องและการถ่ายภาพ” ที่อาจารย์สงคราม โพธิ์วิไล ให้สัมภาษณ์ไว้ ผมขอนำมาเผยแพร่ต่อ โดยแบ่งการเล่าเป็นข้อๆ ดังต่อไปนี้
1) “การถ่ายภาพนั้นไม่ใช่แค่การถ่ายเพื่อสนุกสนานหรือเพื่อความงามเท่านั้น แต่การถ่ายภาพจะช่วยทำให้เห็นการพัฒนาของประเทศชาติได้”
พระราชดำรัสของ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ที่ สงคราม โพธิ์วิไล ช่างภาพผู้ที่มีโอกาสถวายงานการใช้กล้องถ่ายรูป ถ่ายทอดถึงสิ่งที่รับมาใส่เหนือเกล้าฯ และยังคงประทับอยู่ในหัวจิตหัวใจทุกครั้งเมื่อรำลึกถึงพระองค์
เมื่อครั้งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชเสด็จพระราชดำเนินไปยังจังหวัดกาญจนบุรี 50 กว่าปีก่อนเขาทำหน้าที่เป็นลูกเสือกั้นประชาชนในเส้นทางที่พระองค์ผ่าน
ภาพตรงหน้าที่ในหลวงทรงสะพายกล้องและทรงถ่ายรูป เป็นแรงบันดาลใจสูงสุดที่ทำให้เขาบอกกับตัวเองว่า“สักวันหนึ่ง ถ้าฉันมีกล้องฉันจะถ่ายภาพในหลวง”
17 ปีต่อมา สงครามก็สมความตั้งใจ ได้ฉายพระรูปในหลวงรัชกาลที่ 9 เป็นภาพแรกในชีวิต เมื่อครั้งที่พระองค์เสด็จพระราชดำเนิน ณ ปราสาทพระเทพบิดร และตั้งแต่ปี 2528 เป็นต้นมา ก็ได้มีโอกาสถวายงานการใช้กล้องแด่พระองค์ท่านอย่างใกล้ชิดหลายครั้ง เป็นประสบการณ์อันน่าภาคภูมิใจที่สุดในชีวิต
2) อาจารย์สงคราม ย้อนเล่าถึงจุดเริ่มต้นของการได้ถวายการรับใช้ว่า ขณะนั้นตนเองอยู่ในสมาคมถ่ายภาพแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ความที่เคยเป็นผู้จัดการโรงงานผลิตเลนส์ร่วมกับญี่ปุ่น มีความรู้เรื่องเลนส์และกล้อง ประจวบกับบริษัทต่างประเทศที่มีตัวแทนจำหน่ายในเมืองไทยจะเข้าถวายกล้องในหลวงรัชกาลที่ 9
“ท่านครูพูน เกษจำรัส และครูจิตต์ จงมั่นคง ซึ่งทั้งสองท่านเป็นศิลปินแห่งชาติ และเป็นผู้ถวายงานด้านการล้างฟิล์มให้ในหลวง ร.9 มา 20-30 ปีแล้ว ก็มาบอกให้ผมเข้าไปถวายงานการใช้กล้องให้พระองค์ท่านในวังสวนจิตรลดาตอนนั้นผมก็กลัวๆ อยู่เหมือนกัน เพราะเรื่องการใช้คำราชาศัพท์ที่เราไม่ค่อยรู้เรื่อง”
รับสั่งว่า “ฉันไม่ถือหรอก”
คือประโยคที่อาจารย์สงครามบอกว่า ทำให้กล้าที่จะกราบบังคมทูลกับพระองค์ท่าน และช่วงหลังๆ เมื่อเริ่มเข้าใจคำราชาศัพท์มากขึ้น เวลาที่สงสัยหรือไม่เข้าใจอะไรก็จะกราบบังคมทูลถามท่านอยู่บ่อยๆ เช่นกัน
พระองค์ท่านก็ทรงสอบถามอาจารย์สงครามว่า“คุณสงครามทำอะไร” อาจารย์สงครามก็ตอบว่า“ข้าพระพุทธเจ้าเป็นบรรณาธิการหนังสือถ่ายภาพ Photos & Grapho พระพุทธเจ้าค่ะ” ท่านทรงยิ้มแล้วตรัสว่า
“อ้าว ถ้าอย่างนั้น ไปเขียนบอกพวกเราด้วยนะว่าให้ถ่ายภาพกันดีๆ เรายังผลิตฟิล์มเองไม่ได้”
ได้ยินคำว่า “พวกเรา” อาจารย์สงครามจึงกราบบังคมทูลถามต่อว่า “ทำไมใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาททรงใช้คำว่าพวกเราล่ะ พระพุทธเจ้าค่ะ” ท่านแย้มพระสรวลแล้วตรัสว่า“อ้าว เราคนถ่ายภาพด้วยกัน เราเป็นพวกเดียวกันนะ” พระองค์ท่านทรงสอนให้เรารักเพื่อน รักพวกเดียวกัน รักใคร่สามัคคีกัน
“พระองค์ท่านเคยตรัสว่า “การถ่ายภาพนั้นไม่ใช่แค่การถ่ายเพื่อสนุกสนานหรือเพื่อความงามเท่านั้น แต่การถ่ายภาพจะช่วยทำให้เห็นการพัฒนาของประเทศชาติได้”
อันนี้เป็นสิ่งที่ผมประทับใจในพระองค์ท่านมากๆ” อาจารย์สงครามเล่าด้วยความปีติ
ขณะเดียวกัน การที่ตรัสว่า “ให้ถ่ายภาพกันดีๆ เรายังผลิตฟิล์มเองไม่ได้” อาจารย์สงครามบอกว่า เป็นเรื่องของเศรษฐกิจพอเพียงพื้นฐานเลย นอกจากนี้พระองค์ท่านทรงรับสั่งว่า “เคยฟังเสียงชัตเตอร์กล้องตัวเองบ้างไหมล่ะ ว่าดังยังไง”
“ชัตเตอร์กล้องของฉันดัง 7 บาทเสมอ”
ทุกครั้งที่กดชัตเตอร์กล้องจะบอกว่าฉันเสียเงินไป 7 บาทแล้วนะ ค่าฟิล์ม ค่าล้าง ค่าภาพ ค่าเดินทาง ค่าอะไรต่อมิอะไรอย่างผมอยู่โรงงานทำเลนส์ทำกล้องก็จะรู้ว่าการกดชัตเตอร์ 1 ครั้ง เมื่อชัตเตอร์ทำงานเกิดการเสียดสี สปริงทำงาน ลูกปืนทำงาน ไดอะแฟรม (Diaphragm) ทำงาน แบตเตอรี่ทำงาน มันก็ค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่อยู่ในนั้น
นี่คือสิ่งที่พวกเราจำเป็นประโยคทองมาเลยว่า กดชัตเตอร์ทุกครั้งก็เสียเงินแล้ว แม้แต่ทุกวันนี้ เวลาผมไปเป็นวิทยากรบรรยายที่ไหน ผมก็จะยกตัวอย่างเรื่องนี้ให้ทุกคนฟังทุกคนก็มักจะบอกว่า ตอนนี้ใช้กล้องดิจิทัลแล้ว ผมถามว่าแล้วกล้องดิจิทัลคุณไม่เสียเหรอ คุณซื้อกล้องมาตัวหนึ่ง เสียเงินหรือเปล่า แบตเตอรี่คุณใช้ไหม ทุกครั้งที่กดชัตเตอร์ อิเล็กทรอนิกส์ทำงานไหม วงจรมันก็เสื่อมไปทีละนิด แม้แต่ตัวพิกเซลที่คุณบอกว่ามี 10 ล้านพิกเซล หรือจะ 20 ล้านพิกเซล คุณกดชัตเตอร์ 1 ครั้ง แสงก็ตกกระทบพิกเซลของคุณ 1 เม็ดทุกครั้ง นั่นก็คือค่าเสียหาย
พระองค์ท่านทรงรับสั่งให้เราเป็นคนมัธยัสถ์ ไตร่ตรองก่อนที่จะกดชัตเตอร์ทุกครั้ง
3) ถามถึงพระอัจฉริยภาพด้านการถ่ายภาพ อาจารย์สงครามบอกว่า ทรงเป็นอัครศิลปินโดยแท้
“ทุกครั้งที่พระองค์จะกดชัตเตอร์ทุกภาพ…ผมก็เคยกราบบังคมทูลถามท่านเหมือนกันว่า “ภาพแบบนี้ท่านได้ทอดพระเนตรเห็นอะไรถึงได้ตัดสินใจกดชัตเตอร์” เพราะทุกภาพล้วนแต่มีความสวยงาม เรื่องแสง เรื่องสี ดีหมดทุกอย่างเลย ผมเลยตั้งนิยามได้ง่ายๆ ว่า ภาพของในหลวงครบ 6 องค์ประกอบของการถ่ายภาพ คือ สวยด้วยแสง แรงด้วยสี ดีด้วยเรื่อง เฟื่องด้วยปัญญา แสวงหา และรอคอย พระองค์ท่านมีครบหมดเลย”
เคยเห็นพระองค์ท่านบุกป่า ฝ่าเขา ข้ามห้วยใช่ไหม ผมก็เลยให้ข้อสังเกตว่าพระองค์ท่านนั้น ไม่มีภูเขาใดสูงเกินใต้ฝ่าพระบาทของในหลวง ร.9 ของพวกเรา ไม่มีป่าใดลึกเกินกว่าที่พระบาทของพระองค์ท่านจะเข้าไปถึง ไม่มีศิลปะใดที่จะมาขีดวงให้พระองค์ท่านได้ ชีวิตใครก็ไม่มีความยืนยาว แม้แต่พระองค์ท่านก็ทรงจากเราไปแล้ว แต่ผมเชื่อว่าแม้พระองค์ท่านจะจากเราไป แต่พระองค์นั้นไม่เคยไปจากหัวใจของพวกเราปวงชนชาวไทยไปได้เลย
4) ถ้าสังเกตให้ดีจะเห็นว่า ในการถ่ายภาพแต่ละครั้งพระองค์ท่านจะใช้หลัก 3D ง่ายๆ คือ
1.Documentary เมื่อกดชัตเตอร์ 1 แชะก็เป็นการบันทึกเรื่องราวบอกเล่า เพราะภาพถ่าย 1 ภาพพูดดังกว่าคำพูดเป็นพันคำ เวลาพระองค์ท่านจะเล่าอะไร พระองค์ท่านจะเล่าด้วยภาพ
2.Double Take คนสมัยใหม่ใช้คำว่า Before and Afterคือเมื่อพระองค์ท่านถ่ายภาพนั้นไว้แล้ว 10-20 ปีที่แล้วกลับไปถ่ายใหม่อีกครั้งเพื่อเป็นการเปรียบเทียบ
และ 3.Development การเปลี่ยนแปลงหรือสามารถนำมาใช้ในการพัฒนาประเทศชาติได้ ช่วยให้เห็นการเปลี่ยนแปลง เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงแล้วก็จะเห็นการพัฒนาไปอีก 50 ปีข้างหน้า ถ้าเราไปยืนถ่ายภาพที่เดิมเราก็จะเห็นการเปลี่ยนแปลงมากมาย ซึ่งในหลวง ร.9 ทรงใช้ทฤษฎีง่ายๆ ที่นักถ่ายภาพพึงเข้าใจในเรื่องนี้
“สิ่งที่ได้จากพระองค์ท่านสามารถนำมาใช้ในการพัฒนาต่อยอด การพัฒนาตรงนี้ ผมเรียกว่าเป็นการพัฒนาก้าวหน้าได้ด้วยภาพถ่าย ได้บทสรุปเรื่องราวจากพระองค์ท่านว่า กล้องคือเครื่องมือที่หยุดกาลเวลาได้” อาจารย์สงครามบอก และว่า
“ภาพถ่ายคืออัญมณีแห่งชีวิตที่ถูกเจียระไนโดยนักถ่ายภาพ เพราะฉะนั้นอยากให้ลองย้อนกลับไปดูชีวิตเราในช่วงวัยเด็กที่พ่อแม่เราถ่ายภาพเราไว้ ถ้าไม่มีวันนั้น ต่อให้มีเงิน 1 ล้านบาท คุณก็ไม่สามารถที่จะมองเห็นชีวิตคุณในตอนนั้นได้ ไม่เห็นใบหน้า ไม่เห็นการแต่งกาย ไม่เห็นแววตาดังนั้น กล้องคือเครื่องมือที่หยุดกาลเวลาได้”
5) นอกจากนี้แล้ว พระองค์ทรงรับสั่งเรื่องที่เป็นห่วงระบบของงานถ่ายภาพค่อนข้างเยอะ
อาจารย์สงครามบอก พร้อมกับยกตัวอย่างประกอบคำอธิบายว่า เคยได้ตรัสถามผมว่า “พวกเรา นักถ่ายภาพเอาแบตเตอรี่ไปทิ้งกันที่ไหน อย่าทิ้งลงในแม่น้ำลำคลองนะ มันอันตรายต่อระบบนิเวศวิทยาทางน้ำนะ”
ทรงแสดงให้เห็นว่าพระองค์ท่านทรงห่วงใยสิ่งแวดล้อมทรงห่วงใยประชาชน คิดถึงไปในอนาคตข้างหน้าว่าจะต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้
6) สำหรับโครงการในพระราชดำริทั้ง 4,000 กว่าโครงการ พระองค์ท่านทรงพัฒนาด้วยวิธีการกดชัตเตอร์ ไปดูได้เลยว่าวันแรกที่ไปดอยอ่างขางเป็นอย่างไร วันแรกที่ไปเขาชะงุ้มเป็นอย่างไร วันแรกที่ไปโครงการชั่งหัวมันเป็นอย่างไร เห็นได้หมดเลยครับ
“กองการส่วนพระองค์ที่เป็นช่างภาพของในหลวง ร.9 ที่ผมรู้จัก หลายท่านก็รู้เลยว่า ถ้าเจออะไรให้กดชัตเตอร์ถ่ายรูปไว้เลยอีก 10-20 ปีไปถ่ายอีกก็เกิดการพัฒนาได้ด้วยภาพถ่ายทั้งนั้น” อาจารย์สงครามบอก
เหล่านี้เป็นเพียงส่วนเสี้ยวของเรื่องราวในความทรงจำถึงพระราชาของปวงชนชาวไทย ที่ยังคงบอกเล่าบอกต่อซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วยความปีติอย่างมิรู้ลืม
ครับ, ผมอยากให้ทุกคนรับแสงสว่างอย่างนี้ไว้เป็น “แสงนำใจ”และเปล่งแสงสว่างเช่นนี้ออกไปทุกครั้ง ที่มี “ราหู” ปรากฏขึ้น!!
มีแต่แสงสว่างเท่านั้น ที่จะไล่ “ความมืดมิด” ให้พ้นไป
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี