“แนวหน้าออนไลน์” นำเสนอว่า มีรายงานข่าวจาก แกนนำสส.พรรคพลังประชารัฐรายหนึ่ง เปิดเผยว่า กระแสข่าวที่พรรคร่วมรัฐบาลจะใช้เวทีอภิปรายไม่ไว้วางใจนี้ โหวตคว่ำพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม เพื่อกดดันให้ลาออกจากตำแหน่งนั้นไม่น่าจะเป็นความจริง ซึ่งภายในพรรคไม่มีการพูดถึงเรื่องนี้โดยเชื่อว่านายกฯและรัฐมนตรี รวม 6 คน สามารถชี้แจงข้อสงสัยข้อกล่าวหาของฝ่ายค้านได้อย่างชัดเจน พร้อมมั่นใจว่า สส.ในพรรคร่วมรัฐบาลจะให้ความไว้วางใจพลเอกประยุทธ์และรัฐมนตรีทุกคน
ส่วนกรณีสส.กลุ่มดาวฤกษ์ ที่นำโดย มาดามเดียร์ นางวทันยา วงษ์โอภาสี เตรียมโหวตสวนมติพรรคไม่ไว้วางใจนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุขกับนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม ฝั่งพรรคภูมิใจไทยจะเกิดขึ้นอีกรอบหรือไม่นั้น แหล่งข่าวสส.พรรคพลังประชารัฐคนเดิม ระบุว่า มีความเป็นไปได้ เพราะจากการบริหารสถานการณ์แก้ปัญหาโควิดของกระทรวงที่รับผิดชอบหลัก คือ กระทรวงสาธารณสุข ต้องยอมรับว่าผลงานยังไม่เข้าตา แก้ปัญหายังล่าช้าและมีข้อสงสัยในเรื่องการจัดซื้อวัคซีนและชุดตรวจ ATK อีกหลายอย่าง ถือว่า ยังทำผลงานค่อนข้างไม่ดีเท่าที่ควร ประกอบกับมีข้อครหาถึงการเป็น รัฐมนตรีเสเพลของนายศักดิ์สยาม ซึ่งถือเป็นรัฐมนตรีคนเดียวที่ติดโควิด ด้วยอีก
นอกจากนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่า ชื่อของ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรฯ ไม่ถูกเสนอให้อภิปรายไม่ไว้วางใจในรอบนี้เสียงลือเสียงเล่าอ้างจากพรรคฝ่ายค้าน ทั้งเลขาฯพรรคก้าวไกลและเพื่อไทย ต่างออกมาปัดกันพัลวัน ให้เหตุผลกันคนละทีสองที อ้อมแอ้มไม่ชัด
ทั้งนี้ก้าวไกลเอง ก็ไม่ยอมเสนอชื่อ 2 รัฐมนตรีเข้าในวงประชุมร่วมพรรคฝ่ายค้าน แต่มาเสนอเอานาทีสุดท้ายและปรากฏว่า เสนอไม่ทัน แถมข้อมูลยังไม่มีน้ำหนัก
ส่วนฟากเพื่อไทยให้เหตุผลอีกว่า ได้อภิปรายไม่ไว้วางใจไปแล้วรอบก่อน จึงไม่มีข้อมูลอะไรใหม่ ทั้งหมดทั้งมวลนี้ยังฟังไม่ขึ้นเสียทีเดียว หรืออาจจะเป็นเพราะว่า ศึกซักฟอกเกมนี้ ร.อ.ธรรมนัส ปิดดีลจบนั้น อาจเป็นไปได้
ต่อประเด็นที่มีกระแสข่าวออกมาก่อนหน้านี้ว่า มีการพูดคุยเพื่อเปลี่ยนขั้วทางการเมือง พรรคพลังประชารัฐเตรียมจับมือกับพรรคเพื่อไทย จัดตั้งรัฐบาลในสมัยหน้าหลังคุมทิศทางสส.พรรคภูมิใจไทยได้ยากนั้น แกนนำสส. พปชร.คนเดิม บอกว่า
“ต้องยอมรับว่า คุยสส.ภูมิใจไทยยากกว่าจริง เมื่อเทียบกับการประสานพูดคุยกับฝั่งเพื่อไทย ทั้งหมดหากอยู่ภายใต้การดีลของ ร.อ.ธรรมนัส ทุกอย่างก็เป็นไปได้ทั้งนั้น” แกนนำสส.พปชร. ระบุ
จากความเห็นของแหล่งข่าวที่ว่านี้ น่าวิเคราะห์ว่า สถานะ “อยู่ก่อนแต่ง” ระหว่าง “เพื่อไทย” กับ “พลังประชารัฐ”นั้น เป็นการ “ดองกัน” แบบ “ชู้รักทางการเมือง” หรือเป็นสัมพันธภาพแบบ “รักเผื่อเลือก” กันแน่
1) นับแต่เป็นฝ่ายค้านมา เพื่อไทยยังไม่ได้แสดงศักยภาพของการเป็น “ฝ่ายค้านคุณภาพ” ชนิด “ต่อยให้น็อก” ให้เห็นเลยจริงๆ ส่วนมากจะ ค้านพอเป็นพิธี ค้านเพื่อรักษาทรงมวยเอาไว้ ค้านเพื่อใช้สิทธิในการอภิปรายตามระเบียบที่เปิดโอกาสไว้ การอภิปรายในแต่ละครั้งฤทธานุภาพหรือความฮือฮา จะไปอยู่ที่ “พรรคก้าวไกล” มากกว่า ซึ่งเราสมควรตีความว่า ที่เป็นเช่นนี้ เพราะไม่มีประสิทธิภาพ หรือเป็นการ “ยั้งมือไว้ไมตรี” กันดีล่ะ?
2) ถ้าพูดกันเฉพาะตัวบุคคลในพรรคพลังประชารัฐ กับพรรคเพื่อไทยนั้น เรียกว่า “วัวเคยค้า มาเคยขี่” เคยอยู่พรรคเดียวกันมา และอีกจำนวนไม่น้อย ก็อยู่มาหลายพรรคแล้ว ไม่ได้ยึดติดกับอุดมการณ์พรรค ยึดติดกับโอกาสชนะเลือกตั้งและหัวหน้าก๊วนได้นั่งเป็นรัฐมนตรีเท่านั้น
3) ที่ผ่านมา อำนาจอยู่ในมือ คสช. กติกาถูกควบคุมและออกแบบเพื่อชัยชนะ ถึงขั้น นายวีระกร คำประกอบ สส.พลังประชารัฐ จังหวัดนครสวรรค์ (ย้ายมาจากพรรคเพื่อไทย) กล่าวว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้ไม่ได้ดีไซน์ (design) มาสำหรับพรรคอื่นเลย ที่จะเป็นรัฐบาล ดีไซน์มาสำหรับให้พรรคพลังประชารัฐได้เป็นรัฐบาลเท่านั้น จึงจำเป็นที่ต้องย้ายมาอยู่ตรงนี้ เพื่อให้ประเทศชาติได้นับหนึ่งได้
4) การกระทำเช่นนั้นของ คสช. บวกกับการเติมบทเฉพาะกาลให้ สว. มาร่วมโหวตนายกรัฐมนตรี และต่อมาก็ขอให้ คสช. เป็นผู้เลือก สว. มันทำให้ “คนดี” อย่างหัวหน้า คสช. มีมาตรฐานความดีเท่ากับ “นายทักษิณ ชินวัตร”ที่มุ่งใช้กติกาเพื่อประโยชน์ทางการเองของตน จนลืมนึกไปว่านั่นจะเป็นปมปัญหาในอนาคต และลูกน้องทักษิณก็ดีใจที่ พล.อ.ประยุทธ์เลือกทำลายตัวเองด้วยวิธีดังกล่าว
5) พล.อ.ประยุทธ์ หัวหน้า คสช. และนายกรัฐมนตรีในตอนนั้น เคยต่อว่าต่อขานนักการเมืองไว้มากมาย เคยให้ประชาชนไปตอบคำถามเอาไว้มากมาย โดยเฉพาะคำถามที่ว่า “หากรัฐบาลหลังการเลือกตั้งใหม่ ไม่มีธรรมาภิบาล จะทำอย่างไร” ก็ดูรัฐบาลปัจจุบันที่ท่านเป็นนายกฯ ดูสิครับ ซึ่งท่านไม่เคยย้อนไปทบทวนคำถามที่ท่านเคยตั้งอีกเลย
6) แต่จริตหนึ่ง ที่ พล.อ.ประยุทธ์ รักษาไว้ได้ คือ “ฉันไม่เกี่ยวข้องกับนักการเมือง” คือ พยายามแยกตัวออกจากนักการเมือง เราจึงเห็นภาพ พล.อ.ประยุทธ์ ไปอี๋อ๋อ กับ สส.พลังประชารัฐน้อยมาก พอมีประเด็นปัญหาอะไร ก็มักจะบอกว่า เป็นปัญหาในพรรคของเขา คือ อยู่แบบแยกพรรคแยกรัฐบาล ทั้งๆ ที่ใช้เขาเป็น “ฐาน” ทางการเมือง สู่เก้าอี้นายกรัฐมนตรี
7) บัดนี้ น่าคิดว่า การส่งบิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ไปเป็นหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ได้รับการเคารพ เชื่อฟัง ยอมรับ จากนักการเมืองในพรรค
จนได้เลขาธิการพรรคคู่ใจขึ้นมาใช้งาน อย่าง ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เพื่อเตรียมพร้อมสาการเลือกตั้งใหม่อีกไม่เกินสองปีนั้น สัมพันธภาพระหว่าง “พลังประชารัฐ” กับ “พล.อ.ประยุทธ์” จะเป็นอย่างไร เพราะพลอ.ประยุทธ์ แทบไม่เปิดโอกาสให้พรรคมีบทบาทสำคัญใดๆ เป็นแค่ “ลูกไล่” และ “องครักษ์” เท่านั้นพอ ซึ่งคนในพรรคก็แทบไม่เคยเล่นบทองครักษ์พิทักษ์ประยุทธ์เลย นอกจาก สิระ เจนจาคะปารีณา ไกรคุปต์ และไพบูลย์ นิติตะวัน
8) บัดนี้ บรรยากาศไม่เหมือนตอนจูงใจให้คนไปรับรองรัฐธรรมนูญ (ทั้งๆ ที่จำนวนมาก ไม่เคยเห็น ไม่เคยได้รับแจก ไม่เคยอ่าน แถมมีกระบวนการปิดกั้นความเห็นของฝ่ายไม่รับอีกหลายวิธี) ไม่เหมือนตอนใช้แคมเปญ “เลือกความสงบ จบที่ลุงตู่” หรือสัญลักษณ์ว่า ลุงตู่เป็น “คนที่ถูกเลือกแล้ว” เพราะในยามเกิดวิกฤตโรคระบาด โควิด-19 ซึ่งกระทบเข้าอย่างจังกับสภาพเศรษฐกิจ “ประสิทธิภาพในการเป็นผู้นำ” ของ พล.อ.ประยุทธ์คือ สิ่งที่ประชาชนจำนวนไม่น้อยกำลัง “ตั้งคำถาม” และฝ่ายตรงข้าม ก็ไล่ “บดขยี้” อย่างไม่รามือ
9) คำถามคือ เมื่อถึงการเลือกตั้งรอบหน้าหากพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ประคองสถานการณ์ไปได้ โดยไม่ลาออกหรือยุบสภาก่อน ก็ประมาณปีครึ่งเกือบสองปี คะแนนนิยมจะยังดีเหมือนเดิมไหม เวลานี้จึงเป็นช่วงเวลาที่ต้อง “เตรียมการ” เผื่อทางหนีทีไล่ สร้างโอกาสชนะ ซึ่งคำถามที่ตามมา ซึ่งน่าสนใจอย่างยิ่ง คือ คำถามที่ว่า“ถ้าชูพล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ อีก พลังประชารัฐจะชนะการเลือกตั้งหรือเปล่า”
10) ใช่ สส.จำนวนมากของพรรคพลังประชารัฐนั้นเป็น “เจ้าถิ่น” ที่ไม่ว่าจะเลือกตั้งกี่ครั้ง ก็ชนะทุกครั้งจะกี่นายกฯ กี่รัฐบาล คนพวกนี้ก็ “เอาอยู่” แต่ที่ผ่านมาวิกฤตศรัทธาต่อความล้มเหลวในการบริหารจัดการของผู้นำไม่เคยหนักเท่าครั้งนี้ และความหมางเมินเหินห่าง ที่ พล.อ.ประยุทธ์ มี และแสดงออกกับพรรคพลังประชารัฐ จะกลายเป็น “จุดเปลี่ยน” หรือไม่ น่าคิดนะครับ
11) ชัดเจนว่า คนในพรรคพลังประชารัฐ อยากมีเก้าอี้ดีๆ ให้เลขาธิการพรรค ร.อ.ธรรมนัส ที่ไม่น่าจะได้เป็นแค่ “รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรฯ” พวกเขา
เล็งไปที่เก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ซึ่งเจ้ากระทรวงอย่าง พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ก็หมางเมินเหินห่างกับพรรคพลังประชารัฐ ยิ่งกว่านายกฯ เสียอีก อย่าลืมว่าเครือข่ายมหาดไทย ใหญ่โตครอบคลุมทั่วประเทศ มีงบประมาณผ่านมือมหาศาล เป็นผู้บัญชาการของผู้ว่าฯ ทุกจังหวัด อบจ. อบต. กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ล้วนขึ้นตรงกับรัฐมนตรีมหาดไทย ในทางการเมือง ทุกพรรคการเมืองมักส่ง “คนสำคัญของพรรค” มาคุมกระทรวงนี้ และบริหารจัดการให้เกิดประโยชน์ต่อการเลือกตั้งครั้งถัดไปเสมอ เวลานี้ “นักเลือกตั้ง” ในพรรคพลังประชารัฐ มองไปที่ พล.อ.อนุพงษ์แล้ว พวกเขาคิดอะไรกันอยู่หรือไม่?
12) ร.อ.ธรรมนัสนั้น เป็นคนที่ “ไม่มีอะไรจะเสีย”อีกแล้ว โอกาสทางการเมืองที่ได้รับจาก “ผู้ใหญ่” คือโอกาสปัดฝุ่นปัดไคลในอดีตให้ผุดผ่องผุดผาด เชื่อว่า ร.อ.ธรรมนัส มีความมุ่งมั่นสูงมาก ที่จะนำพาพรรคพลังประชารัฐสู่ชัยชนะ แต่ก็ต้องฝ่าด่าน ปีครึ่ง-สองปีนี้ไปให้ได้ก่อน เงื่อนไขที่อยู่นอกเหนือจากการควบคุมได้ คือนายกฯ กับมหาดไทย
13) แต่ยังไง ยามนี้ก็ต้องเล่นบท “ประคอง” กันไปก่อนถึงเวลาเลือกตั้งจริงๆ ก็ไปตัดสินใจหน้างานกันอีกทีเพราะเวลานี้ พล.อ.ประยุทธ์ บอบช้ำในทางการเมืองมากแล้ว มากเสียจนอาจไม่ใช่ “จุดขาย” ในวันข้างหน้าหากปีนี้กับครึ่งปีหน้า สถานการณ์โรคระบาดยังไม่คลี่คลาย และสถานการณ์ทางเศรษฐกิจยังดำดิ่งต่อไป
14) เฉพาะหน้านี้ จึงอาจต้องมี “แผนสอง” ในกรณีที่พรรคร่วมรัฐบาล “แยกวง” การพูดคุยกับพรรคเพื่อไทยจึงไม่ใช่เรื่องที่ “เป็นไปไม่ได้” ตลอดเวลาที่ผ่านมา พรรคเพื่อไทยก็ไม่เคยรบในสภาแบบ “หัวเด็ดตีนขาดก็ไม่ร่วมกับพลังประชารัฐ” ให้เห็น พราะการเมือง “ไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวร” ได้รับบทไหนก็เล่นบทนั้นก่อน แต่สามารถเจรจาหาบทใหม่ๆ มาเล่นไปพร้อมๆ กันได้
15) ขณะนี้บ้านเมือง “แตกแยก” มาก เชื้อของความแตกแยก ระหว่างพรรคเพื่อไทยกับพรรคก้าวไกลแล้ว ชัดเจนว่า พรรคก้าวไกล “ปั่น” หนักกว่าพรรคเพื่อไทยมาก พรรคเพื่อไทยดูเหมือนจะเล่นสองบท คือพวก ผีเจาะปากพูด”ก็พูดไป เช่น อนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด, อรุณี กาสยานนท์ที่เหลือก็เป็นคนนอกพรรค เช่น จาตุรนต์ ฉายแสง ขณะที่สุทิน คลังแสง ก็เล่นบทสุภาพบุรุษกับทุกพรรคการเมือง
16) หากมีเหตุจะต้องสลับพรรคร่วมรัฐบาลบ้าง เพื่อให้ “บ้านเมืองเป็นเอกภาพและลดความขัดแย้ง มาช่วยกันแก้ไขปัญหาบ้านเมือง” ก็เป็นไปได้ ที่พลังประชารัฐอาจต้องมีพรรคเพื่อไทย และพรรคเพื่อไทยก็มีวิธีที่จะอธิบายกับมิตรรักแฟนเพลงได้ แต่ระหว่างที่ยังไม่ถึงจุดนั้น ก็เล่นบท “ห้ำหั่น” ไปตามเพลง แต่อย่าให้ “ผิดใจ” กันมาก มาผิดใจกับพรรคก้าวไกลง่ายกว่าเยอะ เพราะเป็นพรรคที่ “ไม่เห็นอนาคต” แล้ว เนื่องจากเล่นใหญ่ เล่นเป็นศัตรูกับกองทัพและสถาบัน แบบข้อมูลจริงบ้างมั่วบ้างอีกต่างหาก เราจึงจะเห็นว่า พรรคเพื่อไทยมัก “เว้นระยะ” ความสัมพันธ์กับพรรคก้าวไกลมาโดยตลอด)
17) ยามนี้ การอภิปรายไม่ไว้วางใจ จึงเป็น “อีเว้นต์” ที่มาไวเกินบริบท อันที่จริง รอให้การล็อกดาวน์ล้มเหลวไปเรื่อยๆ รอให้ 120 วัน ยังเปิดประเทศไม่ได้ รอให้แผนการฉีดวัคซีนผิดพลาดไปจากสัญญา รอให้เศรษฐกิจดำดิ่งไปกว่านี้ เพราะรัฐบาลไม่มีประสิทธิภาพ ค่อยอภิปรายก็ยังไหว แต่รีบอภิปราย เหมือนอยากช่วยใคร “ปรับคณะรัฐมนตรี”
18) สุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีแรงงาน น่าจะตาขวากระตุกทุกวันแล้วล่ะ ในพรรคก็ว้าเหว่แล้ว ผลงานก็ไม่โดดเด่นจนต้องออกโรงขอต่อยกับ มงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ แทนนายกฯ หวังเป็นความประทับใจนั่นเทียว ทั้งๆ ที่ “แก่พอ” จะรู้ว่า เราเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เราไม่แก้ปัญหาด้วยการใช้กำลัง และเราไม่ควรสนับสนุนคนที่ใช้วิธีนี้ อนุชา นาคาศัย เป็นอดีตเลขาธิการพรรคไปแล้วจะนั่งเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ต่อไปได้หรือไม่ แม้ไม่ถูกอภิปราย แต่การกำกับดูแลสื่อของรัฐ ที่ยังไม่ได้ใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อโอกาสในวันข้างหน้า ก็น่าจะหาคนที่ “ใช้สื่อเป็น” มาเตรียมการสร้างความนิยมล่วงหน้า หรือลดแรงเสียดทานทางการเมืองได้ และถ้าพรรคภูมิใจไทยเกิดกระฟัดกระเฟียด ออกไปจริงๆ เก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขก็ว่างลง ตรงกับที่ สส.นครศรีธรรมราชเคยออกมาเสนอ ให้ขยับ พล.อ.อนุพงษ์ มาเป็นรัฐมนตรีสาธารณสุขแทน แล้วคงจะมีคนไปเป็นรัฐมนตรีมหาดไทยให้ได้ล่ะน่า (อิอิ)
19) ส่วนอนาคตข้างหน้า ก็ไปวัดดวงกัน ระหว่างเพื่อไทยกับพลังประชารัฐ ตอนนี้สมานฉันท์กัน ผลักดันบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ ซึ่งพลังประชารัฐน่าจะเสี่ยงกว่าในการเลือกตั้งครั้งหน้า แต่แม่บ้านคนใหม่เขาน่าจะ “กล้าเสี่ยง” ถึงแม้พรรคเพื่อไทยได้ สส.มากกว่า ในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา แต่ก็ตั้งรัฐบาลไม่ได้ นี่กติกาเรื่อง สว.ก็ยังไม่เปลี่ยน ยังร่วมโหวตนายกฯ ได้ พรรคเพื่อไทยก็แตกไปเป็นพรรคเล็กพรรคน้อย แถมมีท่าทีจะเกี่ยวข้องกับม็อบ เหมือนเข้าไป “เซ้งม็อบ” มาเป็นลูกค้าในคลับเฮ้าส์ มีณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ซึ่งแม้เป็นคนนอกพรรคแต่ก็ “เคยนอนร่วมเตียง” กันมา ไปเป็นแกนนำม็อบอีก สังคมอาจจะหวาดระแวงเพื่อไทย ยังไงก็ยังต้องเลือก “ไม้กันหมา” เอาไว้ตีหมาเหมือนเดิมอีกละมั้ง ยิ่งเอาผีทักษิณมาหลอกหลอน เร็วเกินไป หากเวลาที่เหลือ พล.อ.ประยุทธ์เกิดบริหารจัดการสถานการณ์ได้ มันก็มีสิทธิ์ลุ้นอยู่นะ ดังนั้น จูบไปแข่งไปกับพรรคเพื่อไทยนี่แหละ ชัวร์!!
20) น่าสนใจกว่า คือ การเลือกตั้งครั้งหน้า พรรคพลังประชารัฐจะยังชู “ลุงตู่” เป็นนายกฯ ต่ออีกหรือเปล่า ถ้าชูต่อจะยอมศิโรราบเท่านี้ หรือมี “อำนาจต่อรอง” มากขึ้น
ฝากเป็นการบ้านให้คิด
เวลานี้ ให้ดูละครเรื่อง “ชู้ทางใจ” ระหว่างนักการเมืองเพื่อไทย กับพลังประชารัฐ ซึ่งเป็นแฟนเก่ากันมาก่อนไปพลางๆ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี