ตัวละครเดิมๆ ที่เคยร่วมในกระบวนการ “ตัดต่อ-ตกแต่งรัฐธรรมนูญ” ด้วยการเติมบทเฉพาะกาลให้ สว. ร่วมโหวตเลือกนายกฯ ได้ ออกโรงอีกแล้วครับท่าน!!
1) นายวันชัย สอนศิริ สมาชิกวุฒิสภา (สว.) กล่าวถึงการประชุมร่วมรัฐสภา เพื่อพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่..) พ.ศ. ... แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 83 และมาตรา 91 ว่าด้วยระบบเลือกตั้งวาระที่ 3 ในวันที่ 10 ก.ย.นี้ ว่า ตั้งแต่การพิจารณาวาระ 2 มีสัญญาณอยู่แล้วถ้าวันนั้นไม่มีการปรับปรุงแก้ไขในบางบทหรือบางมาตรา เชื่อว่า อาจจะไม่ผ่านการพิจารณา ในวันนั้น ทาง กมธ.แก้รัฐธรรมนูญ จึงมีการปรับปรุงแก้ไขกันในตอนเช้าก่อนที่จะเริ่มการประชุม ถือเป็นสัญญาณหนึ่ง และอีกประการหนึ่งก่อนที่จะมีการลงคะแนน สังเกตได้ว่า สว.งดออกเสียงเป็นจำนวนมาก แม้ว่า สว.ส่วนหนึ่งจะไม่ลงคะแนน เขาก็ชนะอยู่แล้ว เพราะเป็นการใช้เสียงข้างมากปกติ ดังนั้น สว.ส่วนใหญ่จึงวางท่าทีแบบกลางๆ ไว้ และตัดสินใจอีกครั้งในวันที่ 10 ก.ย.นี้
และจากเหตุการณ์หลังลงคะแนนในวาระ 2 ที่ผ่านมา ทาง สว.ได้มีการพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นร่วมกันตลอด ว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้ เป็นเรื่องของพรรคการเมือง และนักการเมืองล้วนๆ ไม่ได้เป็นประโยชน์กับประชาชนอย่างแท้จริง ดังนั้น เราเห็นว่า หากระบบแบบนี้มีข้อบกพร่อง และย้อนรอยกลับไปตั้งแต่ปี’40 ไม่ได้แก้ไขเพื่อเดินหน้า แต่เป็นการแก้ถอยหลัง และจนวันนี้มีการพูดคุยแลกเปลี่ยนกันระหว่างสว.เป็นจำนวนมาก ในทำนองว่าจะรับหรือไม่รับ แม้กระทั่งวันนี้ ก็มีหลายกลุ่มที่พูดคุยกัน และเชื่อว่า ในวันที่ 9 ก.ย. จะมีความชัดเจน แต่เท่าที่ตนติดตามมาโดยตลอดมีสัญญาณบางอย่างที่บ่งชี้ว่า อาจจะไม่รับร่างครั้งนี้ก็ได้ ฉะนั้น ก็ต้องรอดูกันต่อไป เพราะแต่ละวันเป็นมีการเปลี่ยนแปลงได้โดยตลอด
“วันนี้ วันพรุ่งนี้ แม้แต่วันที่ 9 ก.ย. หรือวันที่ 10 ก.ย. ก็เปลี่ยนแปลงได้ แต่ยืนยันว่า ผมเห็นว่าสัญญาณไม่ปกติ เริ่มปรากฏมีในบรรดากลุ่ม สว.ด้วยกัน แม้กระทั่งช่วงเช้าที่ผมมา ถึงสภาฯ ก็มีหลายกลุ่มนำเรื่องนี้มาปรึกษาหารือกัน ซึ่งจะให้ตอบสังคมว่าผ่านหรือไม่ ผมไม่กล้ายืนยัน เหมือนกับวาระ 2 เพราะในวาระ 2 ก็เริ่มมีปัญหาอยู่แล้ว ฉะนั้น เขาจึงบอกว่าให้ผ่านๆ ไปก่อน แต่จะผ่านหรือไม่ ที่เป็นเรื่องจริงนั้น เชื่อว่า สว.จะตัดสินใจยืนข้างความต้องการของประชาชนอย่างแท้จริง” นายวันชัย กล่าว
เมื่อถามถึงกรณีที่พรรคพลังประชารัฐ มีปัญหากันช่วงการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล จะส่งต่อการพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญด้วยหรือไม่ นายวันชัย กล่าวว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้เกิดแรงกระเพื่อมไปทุกฝ่าย และเชื่อเหลือเกิน ว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ทั้งบรรดาพรรคการเมืองด้วยกัน รวมถึง สว.อยู่ระหว่างก้ำกึ่งด้วยกัน แม้จะบอกว่าไม่ได้มีผลโดยตรง แต่ก็เกิดแรงกระเพื่อมในการเปลี่ยนแปลงเรื่องการโหวตได้
เมื่อถามว่า สัญญาณที่บอกว่าจะไม่ผ่านคืออะไร จะมาจากทางรัฐบาลเองหรือไม่ เพราะมีกระแสว่าในการประชุมพรรคพลังประชารัฐ เมื่อวันที่ 3 ก.ย. ที่ผ่านมา พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐได้บอกกับลูกพรรคว่า สว.จะโหวตคว่ำรัฐธรรมนูญในวาระ 3 นายวันชัยกล่าวว่า ไม่ได้มีสัญญาณมาจากฝ่ายการเมือง หรือสัญญาณจากผู้มีอำนาจ เพราะเท่าที่ตนติดตามมาคือสัญญาณชัดๆ จากสว. และเท่าที่ประเมินทางการเมืองไม่ได้ส่งสัญญาณอะไร เพราะดูแล้วไปได้สองทางคือจะผ่านหรือไม่ผ่านก็ได้ อย่างไรก็ตาม เท่าที่ดูจากการแลกเปลี่ยนของ สว. มาจากความรู้สึกนึกคิดของพวกเรากันเอง และสัญญาณนี้เท่าที่ตนดูนั้นพบว่า จะไม่รับร่างแรงพอสมควร
เมื่อถามว่า ในวาระ 2 ที่ สว.ประมาณ 100 กว่าคนโหวตรับร่างมาแล้ว แต่ในวาระ 3 อาจคว่ำร่างนั้นจะตอบคำถามสังคมอย่างไร นายวันชัยกล่าวว่า “ผมเชื่อว่า ตอบได้ เพราะแต่ละคนที่โหวต ส่วนตัวของผมงดออกเสียงมาตั้งแต่ต้น และแต่ละคนเชื่อว่าเขาจะตอบได้ แต่จะตอบอย่างไรเป็นเรื่องของแต่ละบุคคล เชื่อว่า เรามีหลักการและเหตุผลยืนยันมาตลอด เพราะเราพูดกันมาแล้วว่าการแก้ไขครั้งนี้ไม่ใช่เพื่อประชาชน แต่เพื่ออำนาจและความได้เปรียบทางการเมืองล้วนๆ”
เมื่อถามว่า มีการตั้งคำถามว่า ตอนแรกพรรคการเมืองมั่นใจว่าจะสามารถเปลี่ยนแปลงระบบเลือกตั้งได้เป็นระบบบัตรเลือกตั้งสองใบ นายวันชัยกล่าวว่า ต้องยอมรับว่าพรรคการเมืองที่ยื่นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับนี้ในเดือน เม.ย. กับตอนนี้ต่างกันมาก ดังนั้น เชื่อว่า การแก้รัฐธรรมนูญฉบับนี้ ในความรู้สึกของตนแม้จะผ่านไปได้ แต่มีความรู้สึกว่าจะไม่ได้ใช้ เพราะยังมีขั้นตอนที่นายกฯจะต้องรอ 5 วัน และต้องยื่นที่ศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยในแล้วเสร็จภายใน 30 วัน อีกทั้งยังมีขั้นตอนการทูลเกล้าฯอีก เชื่อว่า จะใช้เวลาอย่างน้อย 30-60 วันก็เป็นไปได้ และการเมืองตอนนี้มีความเปลี่ยนแปลงแรงก็พอสมควร ซึ่งในส่วนตัวที่ตนมองแม้จะรอดในวาระ 3 แต่คิดว่าไม่ทันใช้ อาจจะไปติดที่อื่นหรือที่ศาลรัฐธรรมนูญก็ได้ ที่จะต้องวินิจฉัยว่าการแก้ไขชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ ซึ่งจะมีกระบวนการที่ฝ่ายหนึ่งตั้งป้อมจะร้องอยู่แล้ว และมีประเด็นที่น่าคิดอยู่เหมือนกัน
เมื่อถามอีกว่า สว.จะร่วมยื่นศาลรรัฐธรรมนูญด้วยหรือไม่ นายวันชัยกล่าวว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องการเมืองล้วนๆ สว.แทบจะไม่ได้เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับกระบวนการร่างและการดำเนินการใดๆ โดยเฉพาะในชั้น กมธ.แก้รัฐธรรมนูญเป็นเรื่องการเมืองล้วนๆ และระยะเวลาที่ผ่านไปทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในหลายเรื่อง จึงเชื่อว่า การแก้รัฐธรรมนูญครั้งนี้เป็นความได้เปรียบเสียเปรียบทางการเมือง เกิดแรงกระเพื่อมในพรรคพลังประชารัฐ และพรรคภูมิใจไทยก็ไม่เอาด้วยตั้งแต่ต้น ฉะนั้น สิ่งเหล่านี้หลายส่วนอาจทำให้เกิดการสะดุดและหยุดชะงัก
2) นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม รักษาการหัวหน้าพรรคไทยภักดี โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ค เกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มีรายละเอียดดังนี้…
#บัตรสองใบแค่คิดก็ผิดแล้ว
ทักษิณเป็นคนสำคัญ ที่ออกมาเรียกร้องว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้ไม่เป็นประชาธิปไตย ต้องแก้รัฐธรรมนูญ ให้เป็นประชาธิปไตย นั่นคือแก้จากบัตรหนึ่งใบเป็นบัตร
สองใบ
ประชาธิปไตยของทักษิณ จึงจบด้วยวิธีการเลือกตั้ง ตามที่เขาต้องการ เพราะวิธีเลือกตั้งนั้น จะเป็นหนทางขึ้นสู่อำนาจของเขา และระบบบัตรสองใบนั้น ทำให้เขาเคยทำสถิติมี สส. 377 คน จากทั้งหมด 500 คน จนนำไปสู่เผด็จการรัฐสภา
การแยกบัตรสองใบ ให้เลือกคนหนึ่งใบ และแยกเลือกพรรคอีกใบ คนชนะชนะเลย คนแพ้คะแนนถูกตัดทิ้ง คนที่อยู่ปาร์ตี้ลิสต์พรรคใหญ่ได้เป็น สส.แน่ๆ พรรคใหญ่ทุนหนาจึงได้สองเด้ง
เด้งแรกเลือกตัว สส. ยิ่งแบ่งเขต 400 เขตเขตจะเล็กลง การซื้อเสียงเพื่อตัว สส.เองจะง่าย เข้าเป้าใช้เงินมาก พรรคที่มีเงินเยอะจะได้เปรียบมาก
คนที่มีอิทธิพล โครงข่ายหัวคะแนนและได้เงินจากพรรค ยิ่งได้เปรียบ จึงเกิดภาพ สส.ผูกขาดของตระกูล ประจำจังหวัด (เหมือนในอดีต) ที่สำคัญจะมีการซื้อ สส.เพราะคะแนนจะตามตัว สส.
เด้งที่สอง นอกจากพรรคใหญ่เงินเยอะ มีโอกาสได้ สส.เขตแล้ว สส.ปาร์ตี้ลิสต์ ก็จะเป็นของแถมสมทบเข้าไปอีก ทำให้นายทุนพรรคได้เป็น สส. แน่นอน เขาจึงเรียกร้องอยากได้ระบบนี้ เพราะได้ทั้งขึ้นทั้งล่อง ได้ทั้งสองเด้ง และภาพรวมจะได้ สส.มากขึ้นกว่าความเป็นจริง
ขณะที่ระบบบัตรใบเดียว เลือกพรรค คะแนนทุกคะแนนเอามาคำนวน ไม่มีคะแนนทิ้งตกน้ำ เพื่อให้ได้สส. ระบบนี้ เป็นระบบกึ่งเลือกนายกฯโดยตรง เพราะคะแนนนิยมจะมาจาก ผู้ที่ถูกเสนอชื่อเป็นนายกฯ
ในอนาคต ทุกพรรคการเมืองต้องหาคนที่สังคมยอมรับมาเสนอ ก็คือหาคนเก่งคนดีมา ส่วนผู้สมัคร สส. เขตเป็นองค์ประกอบเสริม เนื่องจากเป็นการกาชื่อพรรคทั้งประเทศ ทำให้การซื้อเสียงยากกว่าซื้อให้ตัวบุคคลแบบสองใบ การใช้เงินน้อยกว่ามาก
ภาพรวมจึงเป็นกระแสความนิคม ในเชิงอุดมการณ์มากกว่าการเลือกบุคคลของบัตรสองใบ การคิดจำนวน สส.สะท้อนความเป็นจริงมากกว่า เพราะกาใบเดียว เอาทุกคะแนนมาหาจำนวน สส. ระบบนี้นายทุนพรรคจะไม่ชอบเลย เพราะปาร์ตี้ลิสต์ก็สอบตกได้ อย่างที่เห็น
ระบบบัตรใบเดียวจึงยากมาก ที่จะเกิดรัฐบาลพรรคเดียว ช่วยแก้ปัญหาเผด็จการรัฐสภา ที่เคยเกิดจากบัตรสองใบในอดีต แม้จะเป็นรัฐบาลผสม แต่จะมีเสถียรภาพ พรรคการเมืองไม่กล้าออกนอกลู่นอกทางมาก เพราะจะมีผลต่อกระแสนิยมของพรรค ซึ่งถ้าประชาชนไม่เอา พรรคนั้นสามารถสูญพันธุ์ได้ง่ายๆ
ระบบบัตรใบเดียว จึงตอบโจทย์ต่อปัญหาการเมืองของชาติ เพราะยากที่จะเกิด สส. ผูกขาดและเผด็จการรัฐสภา ยกเว้นทั้งพรรคและตัว สส. ต้องช่วยกันทำความดีให้ประชาชน ในระยะยาว พรรคการเมืองจึงต้องทำเพื่อประชาชน เพื่อให้เกิดความนิยมในการเลือก สส.
ในระบบบัตรใบเดียว นักการเมืองไม่อยากให้ยุบสภา เพราะไม่แน่ใจว่าตนเองจะได้เข้ามาอีกหรือไม่ ต่างจากบัตรสองใบ เลือกกี่ครั้งก็หน้าเดิม เพราะทุกอย่างหัวคะแนนคุมได้ บัตรใบเดียวประชาชนจึงมีพลังมาก สามารถลงโทษพรรคการเมืองได้อย่างมีอานุภาพ จึงไม่แปลกที่นักการเมืองอย่างทักษิณไม่ชอบ
หลายคนกังวล สส.ปัดเศษ การเลือกตั้งรอบใหม่จะไม่ใช้บทเฉพาะกาล ทุกเขตเลือกตั้ง 350 เขตผู้สมัครทุกคนต้องผ่านไพรมารีโหวต ซึ่งพรรคปัดเศษจะไม่สามารถส่ง สส.ได้ เพราะพรรคที่จะส่งได้ทุกเขต ต้องมีศักยภาพทั้งประเทศ ดังนั้นในครั้งต่อไปจะไม่มี สส.ปัดเศษแน่นอน
ความกังวลคุณภาพ สส.แบบที่เห็นในสภา ประสบการณ์ผม ระบบบัตรสองใบ ก็สร้างปัญหาคุณภาพ สส. เพราะพวกเลวๆ เขาจะเอา มาอยู่ปาร์ตี้ลิสต์ และผู้สมัครเขตจะเป็นเจ้าพ่อ นักเลง ขายหวย เจ้าของบ่อนที่มีโครงข่าย ซึ่งแย่กว่าพวกมาจากบัตรใบเดียวมาก
ในระยะยาวเพื่อประโยชน์ประเทศ ระบบบัตรใบเดียวจะดีกว่าบัตรสองใบ ยิ่งเป็นสิ่งที่ทักษิณเรียกร้องให้แก้ ถ้าคิดจะเดินตามที่ทักษิณต้องการ เท่ากับว่า กำลังจะยกประเทศให้ทักษิณอีกรอบหนึ่ง แบบนี้แค่คิดก็ผิดแล้ว
สรุป : จับตาดูกันครับ พลังประชารัฐคงกลับลำไม่โหวตให้คงไม่ได้ แต่ สว.จะเป็นกุญแจไข ให้การตีตกสำเร็จ เพราะพลังประชารัฐอยากเคลียร์ปัญหาภายในให้แน่ใจว่า 3 ป. จะได้ไปต่อจริงๆ หรือเปล่า ยังหนุนกันแน่ไหม และยังไม่อยากเขี่ยบอลให้ฝ่าย “ทักษิณ” เตะเข้าประตู ส่วนหมอวรงค์ท่านอยู่ในพรรคเล็ก ที่ยากจะแข่งขันในเกมบัตร 2 ใบ ก็ต้องออกมาในแนวนี้แหละ สุดท้ายให้ดูว่า “ประชาธิปัตย์” จะอยู่ร่วมรัฐบาลต่อหรือเปล่า หากเรื่องแก้รัฐธรรมนูญถูกหักหลังรอบแล้วรอบเล่า เป็นทิศทางการเมืองที่ต้องติดตาม!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี