ในเดือนกันยายนนี้ ก็มีเหตุการณ์ที่เป็นข่าวใหญ่ครึกโครมไปทั่วโลก 2 เรื่องด้วยกัน ก็คือประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา นายโจ ไบเดน เป็นเจ้าภาพในการพบปะหารือสี่เส้ากับนายกรัฐมนตรีอินเดีย ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย ที่ทำเนียบขาวกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ภายใต้กรอบของความร่วมมือทางด้านความมั่นคงสี่เส้า (Quadruple) เพื่อบ่งบอกให้โลกรู้ว่า เป็นการกระชับความร่วมมือระหว่างประเทศประชาธิปไตยด้วยกัน และเป็นการแสดงออกความพร้อมและความมุ่งมั่นที่จะเผชิญหน้ากับนโยบายและมาตรการเชิงเอาใจตัวเอง และคุกคามของจีนต่อภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก หรือคาบสมุทรอินเดียและแปซิฟิก (Indo-Pacific)
โดยก่อนหน้านี้เพียงไม่กี่วัน ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา โจ ไบเดน นายกรัฐมนตรีอังกฤษบอริส จอห์นสัน และนายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย นายสกอตต์ มอร์ริซัน ก็ได้มีถ้อยแถลงออกจากเมืองหลวงของประเทศของตนว่า ทั้ง 3 ประเทศได้ตกลงที่จะร่วมมือกันในเรื่องเรือดำน้ำขับเคลื่อนด้วยพลังนิวเคลียร์ อันได้แก่ การร่วมมือช่วยเหลือของสหรัฐฯ และอังกฤษ ต่อออสเตรเลีย ในการก่อสร้างและพัฒนาเรือดำน้ำขับเคลื่อนด้วยพลังนิวเคลียร์ ซึ่งก็เป็นการบ่งบอกว่าเป็นการร่วมมือที่จะต่อต้านการขยายและพัฒนาอิทธิพลและแสนยานุภาพทางการทหารของจีนเป็นสำคัญ
ซึ่งการร่วมมือในกรอบสี่เส้า และสามเส้านี้ก็แน่นอนว่ามีสหรัฐอเมริกาเป็นแกน และผู้ขับเคลื่อนเป็นการบ่งบอกว่าสหรัฐฯ เป็นส่วนหนึ่งของมหาสมุทรแปซิฟิก และมีผลประโยชน์ในคาบสมุทรอินโดและแปซิฟิก ซึ่งสหรัฐฯ ได้มีบทบาทมายาวนานตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 และหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 มาจนบัดนี้ อันเป็นการแสดงว่า สหรัฐฯ จะไม่ถอนตัวออกไป และจะยังคงอยู่ในภูมิภาคนี้อย่างคึกคักเข้มแข็งต่อไป โดยพร้อมที่จะร่วมมือและสนับสนุนมิตรประเทศที่เป็นประชาธิปไตยด้วยกัน ในการต่อต้านอุดมการณ์ การปกครองแบบเผด็จการ และการขยายอิทธิพลและการรุกรานของจีน ด้วยการเสริมสร้างความเป็นพันธมิตรและการวางแนววงแหวนที่จะตีกรอบหรือปิดล้อมจีน
การนี้เป็นการส่งสัญญาณอีกว่า มาตรการฝ่ายเดียวของจีน หรือการดำเนินนโยบายต่างประเทศ ที่เอาใจของตนเองเป็นที่ตั้งนั้น จะไม่ได้เห็นกับการยอมศิโรราบจากฝ่ายประชาธิปไตย แต่กลับจะได้เห็นกับแรงฮึดขึ้นต่อสู้และต่อต้าน เป็นการส่งสัญญาณให้จีนได้ตระหนักและไตร่ตรองด้วยว่า การดำเนินนโยบายที่เอาตัวเองเป็นที่ตั้ง และประสงค์จะให้ประเทศอื่นๆ ยอมตามหรือโอนอ่อนนั้น ไม่ใช่เรื่องที่จะกระทำได้ง่าย ซึ่งหลายประเทศที่เป็นประชาธิปไตยก็พร้อมที่จะร่วมมือกันเพื่อความอยู่รอดของตนเอง และเพื่อความยั่งยืนของอุดมการณ์ว่าด้วย เสรีประชาธิปไตย
ในสภาพการณ์นี้ จีนก็ดูจะยืนอยู่อย่างโดดเดี่ยว และจะต้องหันกลับไปพินิจพิจารณาว่า ควรจะดึงดันต่อไป หรือควรจะลดความไม่ประมาณตนลงเพื่อลดความตึงเครียด และใฝ่หาซึ่งความร่วมมือ ซึ่งโลกและภูมิภาคก็มีเรื่องราวที่จะให้ร่วมมือกันมากมายแทนการแข่งขันและเผชิญหน้ากันทางด้านแสนยานุภาพทางการทหาร เช่น เรื่องสภาวะโลกร้อนภัยพิบัติธรรมชาติ การใช้ทรัพยากรทางทะเลอย่างยั่งยืน การรักษาความมั่นคงปลอดภัยทั้งทางด้านการเดินเรือ และการบิน ไปจนถึงการร่วมมือกันต่อต้านและปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติต่างๆ
ทั้งหมดนี้อาจกล่าวได้ว่าในช่วง 60 ปีแรกของการปกครองประเทศจีนโดยพรรคคอมมิวนิสต์นั้น จีนไม่ได้มีนโยบายก้าวร้าว หรือรุกรานประชาคมโลก ซึ่งจีนเพียงใช้ประโยชน์จากสภาพแวดล้อมระหว่างประเทศที่เอื้ออำนวยให้จีนก้าวขึ้นมาเป็นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่ 2 ของโลก อำนวยให้มีเงินออมที่นำไปใช้ในการพัฒนาแสนยานุภาพทางทหารได้อย่างรวดเร็ว แต่ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาโดยประมาณ ผู้นำจีนชุดใหม่กลับมีความลำพองใจ และมีความทะเยอทะยาน โดยแทนที่จะได้ใช้ความสำเร็จอย่างใหญ่หลวง ไปสู่การร่วมมือเพื่อเสริมสร้างสันติภาพ เสถียรภาพ และความมั่นคง กลับอ้างประวัติศาสตร์ อ้างความขมขื่นแต่อดีตมาเพื่อคิดบัญชีประชาคมโลก และเสริมสร้างความ คลั่งชาติ ชาตินิยม ซึ่งเป็นการดำเนินการที่ไม่สร้างสรรค์ และขาดการประมาณตน ไร้ขอบเขต โดยผลที่ได้รับกลับมาก็คือ การรวมตัวกันของกลุ่มประเทศที่หวาดกลัวจีน และไม่เห็นด้วยกับแนวคิดและวิธีการเชิงเผด็จการ และคุกคาม ข่มขู่ ผ่านทางความร่วมมือสี่เส้า และสามเส้าดังกล่าว ซึ่งจัดได้ว่าเป็นปฏิกิริยาต่อนโยบายและมาตรการ “ข้าไปคนเดียว ข้าเอาแต่ใจของข้า”
ก็เป็นที่หวังว่า ผู้นำจีนจะได้มีการทบทวนประเมินประมาณตน และปรับกระบวนยุทธ์เสียแต่บัดนี้ มิฉะนั้นจีนก็ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว เพราะกลายเป็นที่หวาดกลัว หวาดระแวง มากกว่าจะเป็นที่แห่งการพึ่งพา เคารพและนับถือ อย่างที่จีนเคยยิ่งใหญ่แต่ในอดีต
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี