สำนักข่าวรอยเตอร์สรายงานเมื่อวันที่ 4 ต.ค.ว่ารัฐมนตรีต่างประเทศของชาติสมาชิกอาเซียนหลายคนได้ออกมาแสดงความผิดหวังต่อรัฐบาลทหารเมียนมาในความล้มเหลวที่จะให้ความร่วมมือหรือมีท่าทีตอบสนองโรดแมปของอาเซียนในการยุติวิกฤตความขัดแย้งรุนแรงในเมียนมา หลังจากกองทัพยึดอำนาจรัฐบาลพลเรือนของนางออง ซาน ซู จี เมื่อวันที่ 1 ก.พ.ที่ผ่านมา
นางเร็ตโน มาร์ซูดี รัฐมนตรีต่างประเทศอินโดนีเซีย แถลงกับผู้สื่อข่าวหลังจากร่วมประชุมกับรัฐมนตรีต่างประเทศสมาชิกอาเซียนว่า รัฐบาลทหารเมียนมาไม่ได้ทำให้มีความคืบหน้าในแผนสันติภาพหรือมีท่าทีตอบสนองต่อการทำงานของทูตพิเศษอาเซียน
นางมาร์ซูดีกล่าวว่า รัฐมนตรีต่างประเทศของชาติสมาชิกอาเซียนส่วนใหญ่ในที่ประชุมแสดงความผิดหวังต่อเมียนมา และต้องการที่จะถ่ายทอดสารนี้ให้ผู้นำรัฐบาลทหารได้รับรู้ ว่าอาเซียนได้เสนอที่จะช่วยยุติสถานการณ์เลวร้ายในเมียนมาที่สั่นคลอนประเทศมาเป็นเวลาหลายๆ เดือนนับจากเกิดเหตุรัฐประหาร แต่ทูตพิเศษอาเซียนต้องเผชิญสิ่งท้าทายในการจะเข้าถึงทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องในเมียนมา
นายไซฟุดดิน อับดุลเลาะห์ รมว.ต่างประเทศมาเลเซีย ชี้ว่าความล้มเหลวที่จะร่วมมือกับทูตพิเศษอาเซียน “จะทำให้เกิดความยากลำบากที่ผู้นำรัฐบาลทหารเมียนมาจะเข้าร่วมในการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนที่จะมีขึ้นในเร็วๆนี้”
นายไซฟุดดินยังระบุในทวีตว่า เขาได้แสดงความผิดหวังไปในที่ประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนถึงการไม่ให้ความร่วมมือของรัฐบาลทหารเมียนมา หลังจากที่ผู้นำรัฐบาลทหารเมียนมามีความเห็นพ้องไว้ถึงฉันทามติ 5 ข้อของที่ประชุมผู้นำอาเซียน
รมว.ต่างประเทศสิงคโปร์ ดร.วิเวียน บาลาคริสนันกล่าวว่าทูตพิเศษอาเซียนนายยูซุฟ เอรีวัน ได้สรุปให้ที่ประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศฟังถึงปัญหาที่ทูตพิเศษเผชิญในเมียนมาว่า “เราได้รับฟังปัญหาที่ทูตพิเศษเผชิญมา และจะส่งผ่านสารนี้ไปถึงผู้นำรัฐบาลทหารเมียนมาและ “ขอร้องรัฐบาลรักษาการเมียนมา ว่าควรให้ความร่วมมือกับทูตพิเศษ”
ที่ประชุม รมต.ต่างประเทศอาเซียนไม่ได้เปิดเผยว่าทูตพิเศษเจอปัญหาอะไรมา แต่จากประสบการณ์และการติดตามข่าวสารจากหลายฝ่ายในประเด็นวิกฤตทางการเมืองของเมียนมา อนุมานได้ว่าอาจเกิดจากรัฐบาลทหารเมียนมาไม่ไว้ใจทูตพิเศษที่อาเซียนแต่งตั้งตามอำเภอใจ
ดังที่คอลัมน์นี้ได้เขียนไว้หลายครั้งแล้วเรื่องอินโดนีเซียครอบงำอาเซียนในปัญหาวิกฤติเมียนมาประกอบกับพลเอกมิน อ่อง หล่าย แสดงท่าทีไม่ไว้วางใจอินโดนีเซีย เพราะอาจสงสัยว่าเป็นม้าใช้ของวอชิงตัน ถ้าจำกันได้หลังจากทหารยึดอำนาจจากรัฐบาลพรรคเอ็นแอลดีของนางออง ซาน ซู จี ทูตยูเอ็นประจำเมียนมานางคริสติน ชราเนอร์ บูร์เกเนอร์กับนางมาร์ซูดี รมว.ต่างประเทศอินโดนีเซีย จะเดินเข้าประเทศเมียนมา แต่รัฐบาลทหารไม่ออกวีซ่าให้ เดือดร้อนถึงประเทศไทยต้องประสานงานให้รักษาการรัฐมนตรีต่างประเทศเมียนมาเดินทางมากรุงเทพฯเพื่อพบปะสามฝ่ายและได้หารือกันเรื่องอาเซียนจะช่วยเหลือเมียนมาด้านมนุษยธรรม
การพบปะกันสามฝ่ายไทยอินโดนีเซียและเมียนมา คือที่มาของการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนนัดพิเศษในกรุงจาการ์ตาและได้ฉันทามติ 5 ข้อ
1.ให้ทุกฝ่ายพยายามอย่างที่สุดในการหยุดใช้ความรุนแรงในเมียนมา
2.ให้ทุกฝ่ายหันมาเจรจาหาทางออกอย่างสันติเพื่อประโยชน์ของประชาชนเมียนมา
3.ให้มีคณะผู้แทนพิเศษของอาเซียนเข้าไปร่วมในกระบวนการเจรจาด้วยความช่วยเหลือของเลขาธิการอาเซียน
4.อาเซียนจะให้ความช่วยเหลือทางมนุษยธรรมแก่เมียนมาผ่านศูนย์ประสานงาน สำหรับการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมการจัดการภัยพิบัติ (AHA Center)
5. คณะผู้แทนพิเศษของอาเซียนจะจัดคณะเดินทางไปยังเมียนมาเพื่อพบปะกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง
การประชุมผู้นำอาเซียนจนได้ฉันทามติ 5 ข้อ ในคราวนั้นทูตยูเอ็นประจำเมียนมาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆแต่เธอได้เดินทางไปจาการ์ตา โดยอ้างว่าไปจัดประชุมคู่ขนานนั่นแหละอาจเป็นสาเหตุสำคัญทำให้พลเอกมิน อ่อง หล่ายไม่ไว้ใจอินโดนีเซีย เพราะสงสัยว่าอาจเป็นม้าใช้ของวอชิงตันเหมือนทูตยูเอ็นประจำเมียนมา นางชราเนอร์
ต่อมาในเดือนมิ.ย.นางมาร์ซูดีเดินทางไปเมียนมากับนายยูซุฟ เอรีวัน (ทูตพิเศษอาเซียนปัจจุบัน) เพื่อผลักดันเรื่องแต่งตั้งทูตพิเศษอาเซียนประจำเมียนมา ตอนนั้นพลเอกมิน อ่อง หล่าย บอกกับนางมาร์ซูดีและนายเอรีวันว่าอยากได้นายวีระศักดิ์ฟูตระกูล อดีตรัฐมนตรีช่วยต่างประเทศของไทยเป็นพิเศษอาเซียนประจำเมียนมา
นางมาร์ซูดีรู้อยู่เต็มอกว่ารัฐบาลทหารเมียนมาอยากได้ทูตพิเศษจากประเทศไทยแต่ยังไม่วายผลักดันนายเอรีวัน รัฐมนตรีต่างประเทศคนที่สองของบรูไนซึ่งเป็นประธานหมุนเวียนอาเซียนปี 2564 เป็นทูตพิเศษอาเซียนจนได้
เมื่อเริ่มต้นด้วยความไม่ไว้ใจกันความในใจก็ระเบิดออกมาไม่วันใดก็วันหนึ่ง เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2564 ครบรอบ 6 เดือนของการยึดอำนาจพลเอกมิน อ่อง หล่าย ถือโอกาสนี้ยกระดับคณะผู้บริหารแห่งรัฐ State Administration Council (SAC) เป็นรักษาการแห่งสหภาพเมียนมา และกล่าวว่าจะจัดให้มีการเลือกตั้งในเดือนสิงหาคม 2565 หลังยกเลิกภาวะฉุกเฉิน ในส่วนหนึ่งของคำปราศรัยพลเอกมิน อ่อง หล่าย กล่าวว่ารัฐบาลรักษาการสหภาพเมียนมา “อยากให้นายวีระศักดิ์ ฟูตระกูลอดีต รมช.ต่างประเทศของไทยเป็นทูตพิเศษอาเซียนแต่ทราบว่าทูตพิเศษเปลี่ยนเป็นชื่อคนใหม่แผนงานที่เตรียมไว้ต้องชะลอไว้ก่อน”
ดังนั้นรัฐมนตรีต่างประเทศสมาชิกอาเซียนบางคนกล่าวว่าเมียนมาไม่สนองตอบในแง่บวกต่อแผนงานของอาเซียนตามฉันทามติ 5 ข้อ ไม่ได้ดังที่ ซอว์มินตุน โฆษกรัฐบาลทหารเมียนมากล่าวว่า “เมียนมาให้ความร่วมมือกับอาเซียนได้ทุกประการยกเว้นเรื่องอธิปไตยของชาติ”
เข้าใจว่าเมื่อวันที่ 12 ก.ย. ทูตพิเศษอาเซียนคงไปขอร้องอะไรที่เข้าข่ายละเมิดอธิปไตยเมียนมาที่พลเอกมิน อ่อง หล่าย ยอมไม่ได้ ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะความไม่ไว้วางใจกันแต่เริ่มต้น ตามรายงานข่าวที่เป็นทางการในวันนั้นทูตพิเศษฯนายเอรีวันเสนอให้กองทัพเมียนมาประกาศหยุดยิงจนถึงเดือนธันวาคม 2564 เพื่อเปิดทางให้อาเซียนได้นำความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมไปส่งมอบให้กับทุกฝ่ายในทุกพื้นที่ และวันที่ 12 ก.ย กองทัพเมียนมาก็ประกาศหยุดยิงจนถึงเดือนธ.ค. ตามคำขอของทูตพิเศษอาเซียน
แต่วันต่อมา วันที่ 13 ก.ย.รัฐบาลสามัคคีแห่งชาติNational Unity Government (NUG) รัฐบาลเงาที่จัดตั้งขึ้นโดยนักการเมืองพรรคเอ็นแอลดีของนางออง ซาน ซู จี “ประกาศปฏิวัติประชาชนทั่วประเทศ”
นายดูวา ลาชิ ลา รักษาการประธานาธิบดีรัฐบาลเงา (NUG) ได้ประกาศปฏิวัติประชาชนและเรียกร้องให้ก่อจลาจลในทุกหมู่บ้านและทุกเมืองทั่วประเทศอย่างพร้อมเพรียงกันเพื่อต่อต้านรัฐบาลที่ตั้งขึ้นโดยทหาร โดยคลิปวีดีโอการกล่าวถ้อยแถลงของเขาถูกโพสต์ลงในเฟซบุ๊คและสื่อมวลชนทั่วโลกนำมาแพร่หลาย
ดังนั้นรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนบางคนต้องตัดอคติส่วนตัวและอุดมการณ์ตามก้นตะวันตกออกไป มาอยู่กับความจริงและใช้สติปัญญาพิจารณา จะพบว่าฝ่ายไหนกันแน่ล้มเหลวที่จะให้ความร่วมมือหรือมีท่าทีตอบสนองในทางลบต่อแผนโรดแมปของอาเซียนในการยุติวิกฤตความขัดแย้งในสหภาพเมียนมา
สุทิน วรรณบวร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี