นับแต่มีเหตุการณ์ “ปลด” ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า กับนางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ ออกจากเก้าอี้รัฐมนตรีช่วย ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ก็เห็นความสั่นคลอนและความพยายามกระชับความสัมพันธ์ในหมู่พี่น้อง 3ป. และในหมู่ “สส.” ที่ตลอดมาถูกกดไว้เพียงเป็น “ขาเก้าอี้” ให้นายกรัฐมนตรี มาโดยตลอด
ครั้นมีการปรับโครงสร้างโดยไม่มีการประชุม เช่น หัวหน้าพรรค ตั้ง พล.อ.วิชช์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา มาเป็นประธานยุทธศาสตร์พรรค แล้วโยกนายสมศักดิ์ เทพสุทิน จากกลุ่มสามมิตร ที่แต่เดิมคาดการณ์กันว่าจะอยู่ในตำแหน่งดังกล่าว มาเป็น “ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรค” และยังเพิ่ม “ที่ปรึกษา” จากคนนอกพรรคเข้ามาอีก 1 คน คือ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค เข้ามา บรรยากาศแบบ “มองตาไม่ไว้ใจกัน” ก็ปะทุขึ้นอีกรอบ และมีการคาดการณ์กันไปต่างๆ นานา ว่า “ตั้งนายพีระพันธุ์เข้ามาทำอะไรในพรรค”
ตกลง 3ป. ยังแนบแน่นกันทางการเมือง ยังมีเป้าหมายเดียวกัน ยังไว้ใจกันอยู่จริงหรือไม่
เชื่อว่า ยังไว้ใจกันอยู่ แต่อาจมีบ้าง ที่ไม่เห็นพ้องกันใน “บางวิธีการ” เช่น พล.อ.ประยุทธ์ ปลด ร.อ.ธรรมนัส กับ นางนฤมล จากวง ครม. แต่ พล.อ.ประวิตร หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ไม่ยอมปลดด้วย ร.อ.ธรรมนัส ยังคงเป็นเลขาธิการพรรค นางนฤมลยังคงเป็นเหรัญญิก และยังคงไปไหนมาไหนกับ พล.อ.ประวิตร อยู่เนืองๆ
พล.อ.ประยุทธ์ มอบหมายให้นายอนุชา บูรพชัยศรี อดีตโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ร่วมประชุมกับ “วิป” และคอยรายงานตรงกับท่าน
ดังนั้น การส่งที่ปรึกษานายกฯ อย่างนายพีระพันธุ์เข้ามาในพรรคพลังประชารัฐ จึงถูกมองด้วยสายตาหวาดระแวง และมีการคาดการณ์กันไป ต่างๆ นานา
ความเคลื่อนไหวที่ 1 :-
16 ตุลาคม 2564 นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค โพสต์เฟซบุ๊คส่วนตัวเรื่อง “ไปกันใหญ่” ใจความระบุว่า
“...ผมไม่เคยคาดคิดว่าการสมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรค พปชร. ของผม จะถูกนำไปวิเคราะห์ วิพากษ์วิจารณ์ ตีความ โยงกันจนวุ่นวายสับสนเหมือนที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ ไม่รู้ไปเอาข้อมูลมาจากไหน ผมเองยังไม่เคยรู้เรื่องเลย ผมให้สัมภาษณ์ปฏิเสธหลายครั้ง แต่ก็ยังวิเคราะห์วิจารณ์กันอยู่แบบเดิมอีก
เพื่อความชัดเจนและเป็นคำพูดของผมเอง โดยไม่ต้องไปอ้างแหล่งข่าวลึกลับซับซ้อนซึ่งหาตัวตนไม่ได้ ผมขอยืนยันข้อเท็จจริงของการเข้าเป็นสมาชิกพรรค พปชร. ของผมดังนี้ครับ
1.ผมไม่มีเงื่อนไขและไม่มีการเสนอเงื่อนไขใดๆ ให้ผมในการเข้ามาเป็นสมาชิกพรรค พปชร. เป็นการสมัครเป็นสมาชิกธรรมดาๆ ไม่มีอะไรลึกลับซ่อนเงื่อน
2.ผมได้พูดคุยกับท่าน พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค พปชร. มานานมากตั้งแต่ปี 2563 เกี่ยวกับความตั้งใจของท่านที่จะสร้างพรรค พปชร. ให้เป็นสถาบันการเมืองที่เข้มแข็งเป็นหลักให้บ้านเมืองต่อไป ซึ่งท่านไม่เคยเปลี่ยนความคิดมีแต่ความมุ่งมั่นที่จะทำให้ได้ ทำให้ผมอยากช่วยท่านในเรื่องนี้ แต่ติดขัดเรื่องงานต่างๆ ที่ต้องดำเนินการให้เสร็จตามเวลา จึงเรียนท่านว่าเมื่องานเบาลงจะมาช่วยท่าน
3.ประมาณเดือนเมษายน 2564 งานต่างๆ พอจะเบาลงจึงเรียนให้ท่านหัวหน้าฯ ทราบ แล้วกรอกใบสมัครโดยท่านหัวหน้าฯ เป็นผู้ลงนามรับรองผมด้วยตัวท่านเอง แต่ปรากฏว่าเกิดการแพร่ระบาดของโควิด ที่ทำการพรรคปิดไม่มีกำหนด สมัครไม่ได้ และการประชุมใหญ่พรรคในเดือนเมษายน 2564 ก็ถูกยกเลิกไป
4.กลางเดือนกันยายน 2564 ผมมีโอกาสพูดคุยกับท่านหัวหน้าฯ ซึ่งท่านก็ยังมีความมุ่งมั่นจะสร้างพรรค พปชร. ให้เป็นสถาบันและเป็นหลักของบ้านเมืองให้ได้ และอยากให้ผมมาช่วยทำงานเช่นเดิม ผมจึงให้เจ้าหน้าที่ของผมสอบถามไปทางที่ทำการพรรคทราบว่าเจ้าหน้าที่พรรคจะมาทำงานเป็นช่วงเวลาหรือตามที่นัดหมายเท่านั้น
5.เจ้าหน้าที่ของผมได้นัดหมายกับเจ้าหน้าที่พรรคว่า ประมาณต้นเดือนตุลาคม 2564 จะนำใบสมัครของผมไปยื่นให้
6.เมื่อสมัครเป็นสมาชิกพรรคเรียบร้อย โดยใช้ใบสมัครที่เตรียมไว้เดิมตั้งแต่เดือนเมษายนที่ท่านหัวหน้าฯ ลงนามรับรองให้แล้ว ท่านหัวหน้าฯ ก็แต่งตั้งผมเป็น “ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรค” เพื่อมาช่วยท่านทำงาน ซึ่งเป็นดุลยพินิจและเป็นอำนาจของท่านเองทั้งสิ้น ก็เท่านั้น
ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องจริง ไม่มีอะไรแอบแฝง ไม่มีอะไรลึกลับซับซ้อน และไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับประเด็นการเมืองอย่างที่วิเคราะห์วิจารณ์กันในขณะนี้เลยครับ...”
ความเคลื่อนไหวก่อนหน้านี้ :-
ก่อนหน้านี้ (10 ต.ค. 2564) ทีมข่าว “แนวหน้าออนไลน์” ได้สัมภาณ์พิเศษนายพีระพันธุ์ ถึงการมองพรรคพลังประชารัฐ มองพี่น้อง 3 ป. และเผยความตั้งใจในการเข้าร่วมเป็นสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ
1) รู้จักกับ 3 ป.ไหม ทำไมจึงพร้อมเข้าร่วมกับพรรคพลังประชารัฐ
พีระพันธุ์ : “ผมรู้จักกับ พล.อ.ประวิตร มานาน ตั้งแต่สมัยเป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลเดียวกัน ก่อนรู้จัก พล.อ.ประยุทธ์ อีก เพราะผมรู้จัก พล.อ.ประยุทธ์ ตอนสมัย ศอฉ. ตอนเกิดเหตุการณ์แล้ว และตอนนั้น พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ยังเป็น ผบ.ทบ. อยู่ รู้จักคุ้นเคยกันมานานแต่ยังไม่มีโอกาสได้พูดคุยเรื่องการเมือง ซึ่ง พล.อ.ประวิตร อยากให้ผมมาช่วยงานตั้งแต่ก่อนเปลี่ยนหัวหน้าพรรคมาเป็น พล.อ.ประวิตรแต่ติดขัดปัญหาหลายเรื่อง แต่ที่ผ่านมาผมก็ได้เห็นความตั้งใจดูการทำงานของนายกฯ
ก็ได้เห็นว่านายกฯ ทำงานแบบไม่ได้มุ่งหวังทางการเมืองเลย รวมถึง พล.อ.ประวิตร และ พล.อ.อนุพงษ์ ด้วย ทั้ง 3 ท่าน ไม่ได้มีความมุ่งหวังทางการเมืองแบบนักการเมืองที่เข้ามาสู่การเมือง เพื่อทำงานการเมือง เพื่อประโยชน์ต่างๆ แต่ในระบบการเมืองก็ต้องเป็นที่เข้าใจว่าต้องมีพรรคการเมือง แต่ทั้ง 3 ท่าน มีความตั้งใจที่จะทำงานให้ชาติ บ้านเมืองจริงๆ เพียงแต่ในระบบการปกครองแบบประชาธิปไตยนี้ มันต้องมีพรรคการเมือง มันจึงเกิดพรรคพลังประชารัฐขึ้นมา ผมได้เรียนรู้ว่า เขามีความตั้งใจและมุ่งมั่นจริงๆ”
และยังกล่าวว่า “ผมได้มีโอกาสคุยกับ พล.อ.ประวิตร โดยท่านมีความมุ่งหวังอยากให้พรรคพลังประชารัฐ เป็นพรรคการเมืองที่เป็นหลักของชาติบ้านเมืองต่อไป ไม่ใช่เฉพาะกิจที่มาแค่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ เท่านั้น แต่อยากให้พัฒนาต่อไปเรื่อยๆ เป็นสถาบันทางการเมือง แต่ทั้ง 3 ท่าน ก็ไม่ได้มีประสบการณ์ทางการเมือง เพียงแต่มีความตั้งใจดีและปรารถนาแบบนี้ และไม่มีใครที่จะมาช่วยจัดการให้เป็นสถาบันทางการเมืองตามที่ฝันไว้ได้ และก่อนหน้านี้ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เลขาธิการพรรค ก็พูดไว้เหมือนกัน ว่าอยากทำให้พรรคพลังประชารัฐ เป็นสถาบันทางการเมือง จึงคิดว่าคงได้รับการถ่ายทอดมาจาก พล.อ.ประวิตร จึงคิดว่าผมต้องมาแล้ว เพราะ พล.อ.ประวิตร อยากให้มาช่วยกัน”
2) พูดได้หรือไม่ว่า ทั้ง 3 ป. ไม่เจนจัดทางการเมืองจึงชักชวนให้มาร่วมงานด้วย?
พีระพันธุ์ : “ไม่ถึงขนาดไม่เจนจัด การเมืองทั้ง 3 ท่านอาจจะเจนจัดมากกว่าผมก็ได้ แต่การวางระบบสร้างพรรคการเมืองแม้ว่าทั้ง 3 ท่านจะเข้าใจระบบการเมือง เชิงการเมือง แต่การจะตั้งพรรคการเมืองและพัฒนาให้เป็นสถาบันทางการเมือง ลำพังทั้ง 3 ท่านทำไม่ได้ มันจะต้องมีคนที่อยู่ในสายอาชีพที่จะต้องมาช่วยกันผลักดันเกิดขึ้นมา ซึ่งก็ท่านก็ต้องหาคนที่มีประสบการณ์ มีความมุ่งมั่นและมีความคิดเหมือนท่าน ต้องมีใจและมีสมองที่คิดเหมือนกัน ใจต้องตรงกันก่อน ซึ่งตรงนี้มันตรงกับผม และผมก็พูดมาเสมอตั้งแต่อยู่พรรคประชาธิปัตย์ ดังนั้น เมื่อคุยกันแล้วมีความคิดตรงกันและคิดว่าเมื่อได้มีโอกาสช่วยท่าน อย่างน้อยเรายังได้ลงมือทำ ดีกว่านั่งคิดอยู่เฉยๆ แล้วไม่ได้ทำ”
“เหตุผลที่ผมเข้ามา” เพราะ
1.เห็นความตั้งใจจริงของทั้ง 3 ท่านที่อยากทำให้พรรคพลังประชารัฐเป็นพรรคที่เป็นหลักของชาติบ้านเมือง เป็นสถาบันต่อไปในอนาคต ไม่ใช่เฉพาะกิจหรือชั่วคราว และอยากทำให้พรรคพลังประชารัฐ เป็นพรรคที่ประชาชนพึ่งหวังได้ เป็นหลักของบ้านเมืองต่อไปได้ ด้วยเหตุนี้จึงคิดว่า ถ้ามีโอกาสก็อยากจะเข้าไปช่วยเขาสร้าง
2.เมื่อเข้าไปแล้วก็จะพยายามดูแลให้พรรคมีโครงสร้างพรรคการเมืองที่ถูกต้อง เป็นพรรคที่เดินในระบบการเมืองที่เป็นที่พึ่งให้ประชาชนได้ และวางระบบต่างๆ ให้มีความเป็นพรรคการเมืองมากขึ้น ตรงนี้ถือเป็นภารกิจที่จะต้องเข้าไปช่วยทำ
และ 3.สถานการณ์บ้านเมืองขณะนี้มีปัญหาหลายเรื่อง ตนอยู่การเมืองมาเกือบ 30 ปี ยังไม่เห็นมีช่วงเวลาไหนที่บ้านเมืองสงบเรียบร้อยเลย มีปัญหาตลอดเวลา ทั้ง 3 ท่านจึงอยากมีคนที่เข้าใจมุมการเมืองและสามารถพูดคุยกับฝ่ายการเมืองที่เป็นเสียงเดียวกันได้ ความคิดเดียวกันได้ที่จะมาช่วยแก้ไขสถานการณ์ต่างๆ ได้”
3) เท่าที่ดูพรรคพลังประชารัฐมีจุดอ่อนตรงไหนที่จะต้องเข้าไปเสริม?
พีระพันธุ์ : “ในมุมของผม พรรคพลังประชารัฐส่วนใหญ่เป็น สส.ใหม่ ขณะที่ สส. เดิมมีอยู่จำนวนหนึ่ง ซึ่งที่ผ่านมาผมมองว่าโครงสร้างความเป็นพรรคการเมืองของพรรคพลังประชารัฐยังไม่สมบูรณ์ โดยเฉพาะการเทรน สส. รุ่นใหม่ให้เข้าใจระบบการเมือง กฎหมาย ระเบียบต่างๆ เพราะการเป็นผู้แทนมันต้องเข้าใจกฎเกณฑ์ กติกา ซึ่งต้องวางหลักเกณฑ์กันให้ชัดเจน นอกจากนี้ต้องดึงศักยภาพของ สส. ทั้งเก่าและใหม่ออกมา แต่ละคนถนัดอะไร ชอบงานอะไร และต้องสร้างงานในด้านนั้นขึ้นมาในพรรค และอาจจะต้องมีการเชิญบุคคลที่มีความรู้ด้านต่างๆ มาให้ความรู้กับ สส. เป็นการเสริมบทบาทให้ สส. เราด้วย”
4) ถ้ามองแล้วพรรคประชาธิปัตย์กับพลังประชารัฐแตกต่างกันอย่างไรบ้างทั้งโครงสร้างและองค์ประกอบ?
พีระพันธุ์ : “ผมมองว่าพลังประชารัฐตอนนี้ก็เหมือนพรรคประชาธิปัตย์ตอนก่อร่างสร้างตัวใหม่ เพียงแต่ว่าคนที่อยู่ในพรรคช่วงเริ่มต้นมีความแตกต่างกันเท่านั้น มีประสบการณ์ทางการเมืองแตกต่างกัน”
5) มาอยู่พรรคพลังประชารัฐ ท่ามกลางสายตาที่มองว่าพรรคยังไม่มีความสงบ ยังมีกลุ่มก้อน ยังมีคลื่นใต้น้ำรอปะทุขึ้นมา?
พีระพันธุ์ : “ผมไม่คิดอย่างนั้น ผมมองว่าไม่ว่าเขาจะเป็นใคร แต่เขาก็คือมนุษย์ เราก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง ดังนั้นต้องช่วยกันทำงาน ใครจะคิดอย่างไร เราห้ามความคิดเขาไม่ได้ แต่เราต้องรู้ว่าเราเป็นอย่างไร และสิ่งสำคัญของพรรคการเมืองคือ ต้องเชิดชูชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และประชาชน ที่มารวมกันเป็นพรรคการเมืองก็เพราะสิ่งเหล่านี้ ถ้าคิดเหมือนกันก็ทำงานร่วมกันได้อยู่แล้ว”
6) กระแสสังคมอาจมองว่าที่พรรคพลังประชารัฐมีการเสริมทีมกันในขณะนี้ กำลังเป็นการจัดทัพทางการเมืองเพื่อรองรับการเลือกตั้งครั้งหน้า?
พีระพันธุ์ : “เราไปห้ามคนมองไม่ได้ แต่ยืนยันไม่มีการเตรียมการอะไร เรื่องนั้นเมื่อถึงเวลาก็ค่อยว่ากัน แต่ตอนนี้มันยังไม่ใช่เวลานั้น ตอนนี้หน้าที่พวกเรา คือ ต้องทำให้พรรคมีความพร้อมก่อน ถ้าพรรคไม่พร้อม พอเลือกตั้งก็จะมีปัญหา ดังนั้นต้องร่วมมือกัน”
7) อนาคตของพรรคพลังประชารัฐ หาก พล.อ.ประวิตร ไม่ไหวแล้ว อยากถอยออกมา เป็นไปได้หรือไม่ที่คุณพีระพันธุ์ จะเข้ามาสานต่อ เป็นหัวหน้าพรรคแทน?
พีระพันธุ์ : “พล.อ.ประวิตร ยังไหว ยังกำลังวังชาดีสติปัญญาท่านยังจำแม่น เฉียบแหลม ท่านยังเป็นหลักของพวกเราได้ต่อ”
8) มีโอกาสที่ พล.อ.ประยุทธ์ จะเข้าร่วมพรรคพลังประชารัฐเต็มตัวหรือไม่ เพราะประชาชนชื่นชอบ หากไม่ลงหลักปักฐานกับพลังประชารัฐ อาจมีปัญหาต่อคะแนนเสียงในการเลือกตั้งครั้งหน้าได้?
พีระพันธุ์ : “นายกฯ ก็บอกแล้วว่าจะลงกับพลังประชารัฐแต่ไม่ได้แปลว่าท่านต้องสมัครสมาชิก เพราะอย่างทุกวันนี้ก็จะเห็นว่านายกฯ ก็ยังสามารถทำงานได้”
9) ที่บอกว่า มาทำงานกับ พล.อ.ประยุทธ์ แล้วสนุก ได้เรียนรู้อะไรบ้าง?
พีระพันธุ์ : “ทั้ง 3 ท่าน ผมคิดว่าท่านวางระบบไว้ดีโดยพล.อ.ประวิตร ดูแลด้านการเมือง พล.อ.อนุพงษ์ ดูด้านข้าราชการ และพล.อ.ประยุทธ์ ดูแลบริหารบ้านเมือง เหมือนกับ 3 ประสานที่แบ่งงานกันทำ ซึ่งผมไม่เคยเห็นสถานการณ์แบบนี้ในวงการเมืองที่เคยอยู่มา ที่คน 3 คนจะทำงานและเชื่อใจกันโดยสนิทใจ ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีสำหรับรูปแบบทางการเมือง ที่อยู่กันแบบเชื่อใจกันได้ และเชื่อว่าทั้ง 3 ท่านจะช่วยกันดูแลชาติบ้านเมืองได้ สัมผัสได้ว่าทั้ง 3 ท่านมีความรักชาติบ้านเมือง ไม่ใช่อยากมีอำนาจทางการเมือง”
สัญลักษณ์แห่งการ “ต้าน” :-
11 ต.ค. 2564 - ที่รัฐสภา นายสิระ เจนจาคะ สส.กทม.พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวถึงกรณีการเข้ามาเป็นที่ปรึกษาพรรคพลังประชารัฐ ของนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ซึ่งมีกระแสข่าวว่าจะเป็นหนึ่งในบัญชีรายชื่อนายกรัฐมนตรีของพรรคพลังประชารัฐ ว่า ส่วนตัวเห็นว่านายพีระพันธุ์เป็นนักการเมืองอาวุโสจากพรรคการเมืองเก่าแก่ที่สุดในประเทศไทยคือพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ซึ่งในพรรคพลังประชารัฐยังไม่มีการหารือกัน และที่สำคัญยังไม่เคยเจอกันกับนายพีระพันธุ์ และเพิ่งจะเข้าเป็นสมาชิกพรรค เปรียบเสมือนพระบวชใหม่ เวลานั่งต้องเรียงตามลำดับพรรษาถึงจะถูกต้อง ตนเคยเล่นหมากรุก เวลาจะออกตัวเดินเบี้ยเดินขุน ตนต้องดูตาม้าตาเรือด้วย เชื่อว่านายพีระพันธุ์คงรู้จักหมากรุกดีพอ
เมื่อถามว่า ขณะนี้พรรคพลังประชารัฐยังมีแค่ชื่อพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา คนเดียวใช่หรือไม่ เนื่องจากนายไพศาลพืชมงคล อดีตกรรมการผู้ช่วยรองนายกรัฐมนตรี (พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊คว่า จับตา พปชร. เสนอชื่อนายก 3 คน โดยหนึ่งในนั้นมีนายพีระพันธุ์ ด้วย นายสิระกล่าวว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ ต้องใช้ความคิดเห็นคนทั้งพรรค ซึ่งการออกมาแสดงความเห็นของนายไพศาลที่ไม่ใช่คนในพรรค ไม่ใช่สมาชิกและกรรมการบริหารพรรค ตนถือว่าเราคุยกันในสมาชิกและกรรมการบริหารพรรค ซึ่งยังไม่ถึงเวลาเหลืออีกปีกว่าถึงจะมีการเลือกตั้ง ไม่มีการยุบสภา
“ขอให้นายไพศาล ไปดูว่าทำไมพรรคประชาธิปัตย์ถึงไม่ส่งชื่อนายพีระพันธุ์ เป็นนายกรัฐมนตรีครั้งที่แล้ว หากมีความรู้ความสามารถอย่างที่นายไพศาลพูด” นายสิระ กล่าว
เมื่อถามอีกว่า ภายในพลังประชารัฐ มีกระแสการต่อต้านนายพีระพันธุ์หรือไม่ นายสิระกล่าวว่า ยังไม่ได้เจอกันเลย เพราะยังไม่มีการประชุมพรรค จึงยังไม่รู้ว่าใครจะต่อต้านหรือใครจะสนับสนุน แต่เท่าที่รู้นายพีระพันธุ์เพิ่งจ่ายเงินค่าสมาชิกรายปีและตลอดชีพ 1,000 และ 100 บาทเท่านั้น ไม่มีอะไรเหนือกว่านี้ ตนก็จ่าย 1,000 บาท เข้ามาเป็นสมาชิกเมื่อปี 2562 ตนถือว่าตนอยู่พรรค 3 ปีแล้ว นายพีระพันธุ์เพิ่งเข้ามาสัปดาห์เดียว ถึงได้บอกว่าต้องดูพรรษาด้วย
ถามต่อว่า ดูเหมือนไม่พอใจเพราะกังวลว่าจะมาแย่งโควตารัฐมนตรี รวมถึงมีอำนาจในพรรค ทั้งที่เป็นคนนอกนายสิระกล่าวว่า นายพีระพันธุ์ยังไม่ได้คุยกับสมาชิกพรรคหรือกรรมการบริหารพรรคเลย แต่ไปให้สัมภาษณ์สื่อจะทำนู่นทำนี่ในพรรคพลังประชารัฐ ท่านเป็นนักการเมืองอาวุโสตนเป็นสส.สมัยแรก สังคมคงเข้าใจได้ ตนไม่เคยเอาเรื่องในพรรค หรือตัวเองใหญ่ในพรรค จะปรับปรุงอะไรในพรรคเลย ต้องผ่านกรรมการบริหารพรรคและสมาชิกพรรคก่อน
สรุป :
1) ยังพูดยาก ว่านายสิระรับงานจากแกนนำกลุ่มไหนในพรรคพลังประชารัฐมา “ตีกัน” หรือ “ตีตูดเบาๆ” ให้รู้ว่าพรรคนี้มี“เจ้าที่” หรือไม่ เพราะธรรมชาติของนายสิระ ก็ “ช่างพูด”แบบนี้เสมอมา
2) สิระ สื่อสารชัดว่า “อย่าเพิ่งรีบพูด ว่าจะทำโน่นทำนี่คุยกับคนในพรรคก่อนนะ” เหมือนสอนให้รู้ว่า วัฒนธรรมองค์กรที่นี่เป็นแบบนี้ แต่พีระพันธุ์ก็ไม่ได้พูดอะไรให้พรรคเสียหายพูดในเชิง “หวังพัฒนาพรรค” ด้วยซ้ำ แต่สิระได้ทำให้ยั้งคิดว่า“เป็นใคร มาจากไหนเหรอ” ทำนองนี้
3) พลังประชารัฐไม่เคยเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันอย่างแท้จริง“รวมกันเฉพาะกิจ” เสมอ เช่นรวมกันเฉพาะกิจเพื่อดัน พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ แต่ดันแล้ว กลับต้องอยู่แบบ“พลทหาร” คอยคำสั่ง อยู่เหมือน “เมียเก็บของเสี่ย” ไม่ได้รับการเชิดหน้าชูตา คอย “ยกมือในสภา” ก็พอแล้ว ซึ่งมันไม่พอสำหรับการสู้ศึกเลือกตั้งรอบหน้า ร.อ.ธรรมนัส คิดจะก่อการอะไรก่อนหน้านี้ไม่ทราบได้ แต่ผลที่เห็นคือ 3 ป. รู้แล้วว่าถ้ายัง “ต่างคนต่างอยู่” กับ “นักเลือกตั้ง” ที่เป็น “ขาเก้าอี้” ของตน ความฉิบหายมาเยือนแน่ เพราะจะหา “พรรคใหญ่” ไซส์เดียวกันมารองรับแทน ก็ไม่ทันแล้ว ไม่มีแล้ว จึงพยายาม“ซ่อมขาเก้าอี้” กันยกใหญ่
แต่ยิ่งซ่อม ยิ่งเป๋ หรือไม่ เพราะหัวใจของเรื่องคือ พล.อ.ประยุทธ์ ยังไม่ “เปิดใจรับ” สส.ในพลังประชารัฐอย่างแท้จริง ยังแบ่งเขาแบ่งเรา แบ่งเป็นนักการเมืองกับ “ฉัน” ผู้รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และประชาชน ยังไม่เปิดโอกาสให้ได้ทำงาน มีบทบาท และยังเอา “คนอื่น” เข้ามาในสมการความสัมพันธ์ แล้วรักนั้นจะ “แนบแน่น” เป็นหนึ่งเดียว...ได้อย่างไร?
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี