จู่ๆ ประธานาธิบดีไบเดนของสหรัฐอเมริกาก็ได้นัดหมายจัดการประชุมสุดยอดประเทศประชาธิปไตยของโลก โดยเชิญประเทศต่างๆ รวม 111 ประเทศ โดยมีวาระสำคัญในการประชุมเสวนาครั้งนี้ 3 หัวข้อคือ
การต่อต้านเผด็จการ การต่อต้านการคอร์รัปชั่น และการพิทักษ์สิทธิมนุษยชน โดยไม่เชิญประเทศในกลุ่มองค์การความร่วมมือแห่งเซี่ยงไฮ้ทั้งหมด และประเทศต่างๆ อีกจำนวนมาก รวมทั้งประเทศในกลุ่มอาเซียนบางประเทศ เช่น ไทยและสิงคโปร์ เป็นต้น
จากนั้นบรรดาสื่อในเครือข่ายของประเทศมหาอำนาจก็ได้โหมประโคมเกี่ยวกับการประชุมเสวนาครั้งนี้กันลือลั่นสนั่นโลก แล้วก็ตั้งข้อกล่าวหาเยาะเย้ยถากถางบรรดาประเทศที่ไม่ได้รับเชิญประชุมว่าไม่เป็นประชาธิปไตยและอีกหลายข้อหา และบรรดาโซเชียลมีเดียก็โหมประโคมเรื่องนี้ในทำนองดูถูกเหยียดหยามประเทศที่ไม่ได้ถูกรับเชิญ สำหรับในประเทศไทยก็ดูถูกเหยียดหยามพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะหัวหน้ารัฐบาล โหมประโคมข่าวกันทุกวี่วัน
ราวกับว่าประเทศไทยเป็นประเทศป่าเถื่อน ไม่เป็นประชาธิปไตย เป็นเผด็จการทรราช เป็นประเทศที่เต็มไปด้วยการทุจริตคอร์รัปชั่นและละเมิดสิทธิมนุษยชน และตราหน้าว่าเป็นเรื่องที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา และนายดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีต่างประเทศเป็นต้นเหตุทำให้ประเทศไทยต้องอับอายขายหน้าเสื่อมเสียเกียรติยศในสายตานานาชาติ
ก่อนอื่นก็ต้องบอกว่าเสียงดูถูกเหยียดหยามดังกล่าวนั้นไม่ใช่เป็นเสียงไทแต่เป็นเสียงทาส เป็นเสียงของขี้ข้าประเทศนักล่าอาณานิคมเพื่อกดดันบังคับให้ประเทศไทยต้องยอมจำนนค้อมหัวให้กับนักล่าอาณานิคม เพียงแต่ไม่บอกว่าจะต้องค้อมหัวยอมรับการบังคับขับไสในเรื่องใดบ้างเท่านั้น
ดังนั้นเรื่องนี้จึงเป็นเรื่องที่ประชาชนชาวไทยจะต้องฟังหูไว้หูและไตร่ตรองด้วยสติปัญญาให้ชัดแจ้งว่าแท้จริงเรื่องนี้มีเบื้องหลังและความเป็นมาอย่างไร โดยเฉพาะการที่ไทยไม่ได้รับเชิญไปเข้าร่วมนั้นเป็นเรื่องเสื่อมเสียเกียรติยศ หรือเป็นเรื่องการประกาศความเป็นไท เป็นเรื่องการประกาศว่าไทยไม่ใช่ทาสต่อนานาชาติหรือไม่
จากนั้นก็ต้องทำความเข้าใจว่าบรรดาประเทศที่ถูกเชิญไปนั้นล้วนแต่มีความสัมพันธ์ในลักษณะที่เป็นประเทศที่เดินตามต้อยๆ คล้อยตามใจของประเทศมหาอำนาจสุดแท้แต่จะบังคับขับไสแทบทั้งสิ้น ยกเว้นบางประเทศที่เป็นพันธมิตรใกล้ชิดและเป็นแกนนำของขบวนการของนักล่าอาณานิคม
ต้องทำความรู้ความเข้าใจต่อไปด้วยว่า ประเทศรัสเซีย จีน อิหร่าน เกาหลีเหนือ รวมทั้งบรรดาประเทศสมาชิกองค์การความร่วมมือแห่งเซี่ยงไฮ้ 21 ประเทศ ซึ่งเขาไม่ยินยอมค้อมหัวให้กับนักล่าอาณานิคม และพร้อมจะเผชิญหน้าขัดขวางการล่าอาณานิคมทุกรูปแบบในทุกพื้นที่ของโลก ก็ไม่มีประเทศใดได้รับเชิญเข้าประชุมแม้แต่ประเทศเดียว
และยังรวมถึงประเทศอาเซียนหลายประเทศ รวมทั้งไทยและสิงคโปร์ด้วย
ดังนั้นการจัดประชุมเสวนาครั้งนี้จึงเป็นการจัดประชุมที่มีลักษณะแบ่งฝักฝ่าย คือฝ่ายที่เป็นพรรคพวกหรือสมุนบริวารของนักล่าอาณานิคม กับประเทศที่ไม่ยอมค้อมหัวให้แม้กระทั่งตั้งตนเป็นฝ่ายต่อต้านการล่าอาณานิคมเพราะเหตุนี้ประเทศใดที่ไม่ได้รับเชิญจึงไม่ใช่ว่าประเทศเหล่านั้นเป็นประเทศป่าเถื่อนล้าหลังหรือเป็นเผด็จการหรือเป็นประเทศคอร์รัปชั่นหรือละเมิดสิทธิมนุษยชนแต่อย่างใด
แต่เป็นเรื่องการต่อสู้ทางการเมืองระหว่างประเทศระหว่างสองฝ่าย คือฝ่ายนักล่าอาณานิคมและฝ่ายต่อต้านการล่าอาณานิคม โดยกลุ่มประเทศที่เป็นฝ่ายต่อต้านการล่าอาณานิคมนั้นมีประชากรรวมกันมากกว่าค่อนโลก และยิ่งเมื่อรวมกับประเทศอาเซียนบางประเทศแล้วก็กล่าวได้ว่าประชากรของประเทศที่เป็นฝ่ายต่อต้านและไม่ได้เข้าร่วมประชุมในครั้งนี้มีปริมาณมากถึง 80% ของประชากรโลก
ดังนั้นการที่ประเทศไทยไม่ได้รับเชิญเข้าร่วมประชุมครั้งนี้จึงมิใช่เรื่องที่ประเทศไทยเสื่อมเสียเกียรติยศหรือเป็นเรื่องที่ต้องละอายขายหน้าแต่ประการใด ในทางตรงกันข้าม เรื่องนี้จะเป็นสัญญาณบอกต่อชาวโลกว่าประเทศไทยมีความเป็นไทแก่ตนเอง ไม่ใช่ประเทศสมุนบริวารหรือขี้ข้าของนักล่าอาณานิคม
ซึ่งชาวไทยพึงถือว่านี่ต่างหากที่เป็นเกียรติยศ เกียรติศักดิ์ และศักดิ์ศรีของประเทศชาติ ของกองทัพ และของประชาชาติไทยทั้งผอง
เบื้องลึกเบื้องลับถึงเหตุผลของการไม่เชิญประเทศไทยเข้าร่วมประชุมสัมมนาครั้งนี้ไม่มีการแถลงสาเหตุให้ทราบ เช่นเดียวกับการไม่แสดงเหตุผลถึงการไม่เชิญประเทศที่มีประชากรรวมกันถึง 80% ของโลก เพราะแต่ละประเทศก็มีภูมิหลังและปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่แตกต่างกัน
ที่ผ่านมาประเทศไทยถูกกดดันบังคับจนเกินขอบเขตเหลือล้นไปแล้ว เช่น การจำต้องยินยอมให้เปิดสถานกงสุลสหรัฐที่เชียงใหม่ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ซึ่งเห็นได้ชัดว่าอาจจะไม่ใช่เป็นไปเพื่อตั้งสถานกงสุลเพื่อการออกวีซ่าและปฏิบัติงานด้านวัฒนธรรม ซึ่งถ้าหากใช้เพื่อการอย่างอื่นก็จะเป็นการผิดข้อตกลงในการอนุญาตให้เปิดสถานกงสุล และทำให้ประเทศไทยถูกจับจ้องมองจากหลายประเทศด้วยความคลางแคลงใจว่าจะมีการใช้สถานกงสุลเป็นฐานข่าวกรองหรือฐานที่บัญชาการทางทหารในสงครามอิเล็กทรอนิกส์ และยังตามมาด้วยการอนุญาตให้ขยายสถานทูตสหรัฐในกรุงเทพฯ ที่ใหญ่โตที่สุดแห่งหนึ่งของโลกเทียบเท่ากับเยอรมนีที่เป็นศูนย์กลางการควบคุมของประเทศนาโต
ประเทศไทยถูกกดดันให้จำเป็นต้องหยุดหรือชะลอโครงการรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน และไม่เข้าร่วมในแผนปฏิบัติการซันย่าเพื่อเชื่อมต่อประเทศไทยเข้ากับประเทศจีนและอาเซียนตอนบน ซึ่งทำให้ประเทศไทยเสียหายย่อยยับจนอาจกลายเป็นประเทศที่ล้าหลังที่สุดในอาเซียน
ประเทศไทยต้องยอมรับการแทรกแซงครอบงำของต่างชาติที่สนับสนุนการเคลื่อนไหวการล้มล้างการปกครอง จนกระทั่งถึงบางเรื่องที่คนไทยทุกคนก็ไม่สามารถยอมค้อมหัวให้ได้อีกต่อไป เรื่องนี้คือเรื่องอะไร คนไทยทุกคนลองทายในใจกันดูก็ได้
เมื่อไม่ยอมค้อมหัวให้ในเรื่องที่ค้อมหัวให้ไม่ได้ จึงอาจเป็นที่มาของปฏิบัติการทางการเมืองระหว่างประเทศที่ไม่เชิญประเทศไทยเข้าร่วมประชุมก็เป็นไปได้
เรื่องนี้ประชาชนชาวไทยทั้งประเทศจะต้องให้ความสำคัญและจับตาติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพราะประเทศไทยไม่ใช่ทาสใคร แต่เราก็ยึดมั่นในความเป็นมิตรไมตรีกับทุกประเทศตลอดไป
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี