หลังจากกรณีการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีผ่านพ้นไป ความเปลี่ยนแปลงหลายอย่างในทางการเมืองก็ค่อยๆ แย้มพรายให้เห็น โดยเฉพาะในขั้วรัฐบาลเริ่มตั้งแต่การเคลื่อนไหวให้หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐลาออกเพื่อปรับปรุงคณะกรรมการบริหาร มาจนถึงข่าวที่คณะกรรมการบริหารเกินครึ่งหนึ่งลาออกเพื่อให้มีผลให้คณะกรรมการบริหารพรรคพ้นจากตำแหน่งและตั้งคณะกรรมการบริหารกันใหม่
เนื้อใหญ่ใจความก็คือมีความพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงคณะกรรมการบริหารชุดปัจจุบันของพรรคพลังประชารัฐ โดยให้หัวหน้าพรรค เลขาธิการพรรค และเหรัญญิกพรรคพ้นจากตำแหน่ง และจะมีการแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารชุดใหม่ซึ่งเป็นสายตรงของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา
แต่ในที่สุดคณะกรรมการบริหารชุดปัจจุบันก็ยังสามารถรักษาอำนาจและดำรงตำแหน่งต่อเนื่องมาจนถึงวันนี้ โดยมีการแต่งตั้งประธานยุทธศาสตร์พรรคซึ่งเป็นอดีตนายทหารที่เคยเป็นคู่แข่งของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา มาก่อน จากนั้นก็มีข่าวคราวการสร้างภาพลักษณ์ว่ากลุ่มสาม ป. เป็นพี่น้องกัน มาด้วยกัน และจะไม่ทอดทิ้งกันจนวันตาย
นั่นเป็นสิ่งที่ประชาชนได้เห็นจากปรากฏการณ์และข่าวคราวตามสื่อมวลชน แต่ในอีกด้านหนึ่งกลับปรากฏว่าการประชุมสภาล่มแล้วล่มเล่า สาเหตุเกิดจากพรรคร่วมรัฐบาลไม่สามารถเข้าร่วมประชุมให้ครบเป็นองค์ประชุมได้ ซึ่งเป็นสัญญาณชัดเจนว่าเป็นการแสดงท่าทีประท้วงอย่างหนึ่งของ สส. ฝ่ายรัฐบาลนั่นเอง เสียดายที่ไม่ปรากฏรายชื่อว่ามีใครบ้างที่ไม่เข้าร่วมประชุม
ที่สำคัญกว่านั้นคือการประชุมสภากลับไม่มีกฎหมายสำคัญของรัฐบาลเข้าสู่การพิจารณาเลย โดยเฉพาะกฎหมายการเงินและกฎหมายสำคัญที่จำเป็นต่อการบริหารราชการแผ่นดิน เช่น กฎหมายการกู้เงินเพื่อนำมาใช้จ่ายตามงบประมาณ เป็นต้น
ปรากฏการณ์ดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่ายังมีความไม่ลงตัวกันภายในฝ่ายรัฐบาล เพราะถ้าหากมีการเสนอกฎหมายสำคัญเข้าสู่การพิจารณาแล้ว ร่างกฎหมายนั้นถูกสภาคว่ำหรือรัฐบาลแพ้เสียงแก่ฝ่ายค้านก็ย่อมส่งผลให้นายกรัฐมนตรีต้องลาออกหรือต้องยุบสภา และเพราะไม่มีความแน่นอนดังกล่าวจึงไม่สามารถนำเสนอร่างกฎหมายให้สภาพิจารณาได้ และนั่นก็หมายถึงความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่บ้านเมืองและราษฎรทั้งปวงอันเป็นผลจากความไม่ลงตัวกันภายในรัฐบาล
ในช่วงเวลาเดียวกันนั้นก็ปรากฏข่าวว่าอดีตนายทหารผู้ใกล้ชิดของนายกรัฐมนตรีลาออกจากพรรคพลังประชารัฐ และไปเข้าร่วมกับพรรคกล้าของนายกรณ์จาติกวณิช โดยมีคณะทำงานหลายคนเข้าไปช่วยดำเนินกิจการทางการเมืองของพรรคกล้าด้วย จึงทำให้พรรคกล้าถูกจับตามองว่าเป็นพรรคในเครือข่ายของนายกรัฐมนตรี หรือเป็นพรรคที่จะเสนอชื่อพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีในการเลือกตั้งครั้งหน้า
ในเวลาเดียวกันนั้นก็มีนักการเมืองสังกัดค่าย กปปส. เคลื่อนตัวกันไปเข้าพรรคกล้ากันอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นที่รู้กันดีว่ากลุ่ม กปปส. ของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ
นั้นก็เป็นน้ำเนื้อเดียวกันกับพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จึงทำให้พรรคกล้าถูกจับตามองมากขึ้น
แต่ไม่ทันไรการประกาศจัดตั้งพรรคไทยภักดีของคุณหมอวรงค์ เดชกิจวิกรม ก็เกิดขึ้น โดยมีอดีตแกนนำ กปปส. หลายคนเข้าร่วมโดยตรงหรือไม่ก็สนับสนุนอยู่ภายนอก และได้ประกาศอย่างเด่นชัดตั้งแต่ระยะเริ่มแรกว่าพรรคไทยภักดีจะเสนอชื่อพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีในการเลือกตั้งครั้งหน้า โดยที่ไม่มีเสียงปฏิเสธจากพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา
ดังนั้นในขณะนี้จึงมีพรรคพลังประชารัฐและพรรคไทยภักดีที่ประกาศเสนอชื่อพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี โดยที่ไม่มีเสียงตอบรับ
จากพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่ายินดีจะให้พรรคใดเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรี เพราะจะเสนอได้ก็แต่เพียงพรรคเดียวเท่านั้น และพรรคนั้นก็จะต้องได้รับเลือกตั้ง มีจำนวน สส. ตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดด้วย
หลังจากนั้นแล้วก็ปรากฏข่าวการเคลื่อนไหวตั้งพรรคใหม่ของกลุ่มสี่กุมาร และมีการประสานงานกับนักการเมืองจากหลายพรรคเพื่อเชิญชวนมาเข้าร่วมพรรคนี้ เป็นวิธีการและลีลาอย่างเดียวกันกับการเชิญชวนนักการเมืองต่างๆ เข้าร่วมพรรคพลังประชารัฐในยุคสมัยที่กลุ่มสี่กุมารเป็นแกนนำในการจัดตั้งพรรคพลังประชารัฐ
หลังจากนั้นก็มีแกนนำของกลุ่ม กปปส. บางส่วนแสดงท่าทีไปเข้าร่วมกับพรรคสี่กุมารด้วย
นั่นเป็นเรื่องของการขับเคลื่อนในทางการเมืองของพรรคที่ตั้งใหม่ 3 พรรค คือ พรรคกล้า พรรคไทยภักดีและพรรคของสี่กุมาร ที่มีท่าทีเบื้องต้นเห็นได้ชัดว่าสนับสนุนพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี หรือพร้อมจะเข้าร่วมรัฐบาลกับพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชาหลังการเลือกตั้งครั้งหน้า
ในขณะเดียวกัน ถ้อยทีถ้อยอาศัยที่แสดงออกโดยพรรคประชาธิปัตย์ในการตัดสินใจไม่ส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งกรุงเทพมหานคร เขต 9 หลักสี่ เพื่อเปิดโอกาสให้พรรคพลังประชารัฐที่มีคนของกลุ่มสาม ช. เป็นผู้อำนวยการเลือกตั้งได้แข่งขันกับพรรคเพื่อไทยอย่างเต็มที่ ก็ได้แย้มพรายท่าทีสำคัญของพรรคประชาธิปัตย์ให้ปรากฏต่อสาธารณะแล้ว
ดังนั้นจึงต้องจับตาดูการเคลื่อนไหวและการประสานงานของพรรคประชาธิปัตย์ พรรคกล้า พรรคไทยภักดี และพรรคสี่กุมาร ว่าจะเป็นไปอย่างไรต่อไป
ในขณะเดียวกันปรากฏว่าขบวนการองครักษ์เสื้อทองที่พิทักษ์ปกป้องพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้ปรากฏต่อสาธารณะและรู้จักกันดีได้เคลื่อนไหวสอดประสานกันอย่างต่อเนื่องในลักษณะด้อยค่าพรรคพลังประชารัฐ “ฟาดลุงป้อม หวดธรรมนัส” อย่างต่อเนื่อง จนเป็นที่แปลกใจว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะบางคนในกลุ่มองครักษ์เสื้อทองนี้ก็นั่งทำงานอยู่ในทำเนียบรัฐบาล
นั่นเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้เห็นแนวโน้มการตั้งขั้วหรือจับขั้วการเมืองใหม่ที่อาจทำให้การเมืองของประเทศพลิกผัน เพราะในขณะเดียวกันนั้นก็เกิดข่าวคราวและกระบวนการที่จะยุบพรรคเพื่อไทย พรรคก้าวไกลพรรคพลังประชารัฐ และพรรคไทยสร้างไทย อย่างต่อเนื่องด้วย
สำหรับพรรคพลังประชารัฐนั้นแม้ยังคุมกำลังตั้งมั่นอยู่ แต่มีหรือที่จะไม่รู้ว่าสถานการณ์เป็นประการใด จึงต้องจับตาดูพรรคพลังประชารัฐเช่นเดียวกันว่าจะยอมยืนเป็นต้นไม้ที่แห้งเฉาตายหรือจะมีท่าทีอย่างไรต่อไป
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี