มกุฎราชกุมารเจ้าชายมุฮัมมัด บิน ซัลมาน แห่งราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย ให้การต้อนรับนายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรไทย พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ด้วยพิธีการระดับหรูหรา วีไอพี
ภาพเหตุการณ์สำคัญถูกเผยแพร่ผ่านทั้งสื่อซาอุดีอาระเบียสื่อตะวันออกกลาง และสื่อโลกตะวันตก จากการเผยแพร่โดยสำนักพระราชวังซาอุดีอาระเบีย
ตั้งแต่เจ้าชายมุฮัมมัด บิน ซัลมาน เสด็จออกมาต้อนรับนายกรัฐมนตรีไทย พลเอกประยุทธ์ก้าวลงจากรถสถานทูต และยกมือไหว้องค์มกุฎราชกุมารด้วยอิริยาบถสุภาพ ขณะที่มกุฎราชกุมารทรงแย้มพระสรวลอย่างอบอุ่นผ่านสายพระเนตร เสด็จพระราชดำเนินนำนายกรัฐมนตรีไทยเข้าสู่สำนักพระราชวังซาอุดีอาระเบีย พระราชวังอัลยะมามะฮ์ บนลาดพระบาทเป็นพรมสีม่วงลาเวนเดอร์ อันเป็นสัญลักษณ์แห่งเกียรติยศขั้นสูง
วงการสื่อสารการทูตระหว่างประเทศถึงกับบอกว่า Gave a royal welcome !!!
ในส่วนภาคธุรกิจเอกชนไทยให้มุมบวกสุดๆ ว่าอาจจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ
นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย มองว่า ถือเป็นเหตุการณ์สำคัญที่ภาคเอกชนจับตามองอย่างใกล้ชิด เพราะอาจเป็นการสร้างจุดเปลี่ยนของประเทศไทยในการพลิกฟื้นเศรษฐกิจ และช่วยทำให้การค้าของประเทศกลับมาคึกคักได้อีกครั้ง
โดยหอการค้าไทยหารือกับภาคเอกชนของทางซาอุฯ นอกรอบมาก่อนหน้านี้ตั้งแต่ปีที่แล้ว เพื่อเตรียมการส่งเสริมการค้า การลงทุน รวมถึงการท่องเที่ยวระหว่างกัน ซึ่งคาดว่าจะมีการเซ็น MOU ความร่วมมือกันต่อภายในครึ่งปีแรก หลังจากการที่ภาครัฐได้ไปเยือนซาอุฯ ในครั้งนี้
ผลประโยชน์ที่คาดว่าไทยจะได้รับ
ด้านการส่งออก - สัดส่วนการค้า ในปี 2564 ไทยส่งออกไปประเทศซาอุฯ ประมาณ 1,500 ล้าน USD (ประมาณ 45,000 ล้านบาท) หากไทยสามารถเปิดประตูการค้ากับซาอุฯ ได้มากขึ้น จะทำให้สัดส่วนทางการค้า การส่งออกไปซาอุฯ กลับไปที่ประมาณ 2.2% ของการส่งออกทั้งหมด ได้เหมือนปี 2532 ซึ่งหมายถึงปริมาณการค้าจะเพิ่มขึ้นไปถึงประมาณ 5,000 ล้าน USD (ประมาณ 150,000 ล้านบาท) โดยสินค้ารถยนต์และส่วนประกอบ สินค้าอาหารและอาหารแปรรูป อาหารฮาลาล สินค้าเกษตร เครื่องจักรกลจิวเวลรี่ อุปกรณ์ไฟฟ้า พลังงานสะอาด Medical Hub และวัสดุก่อสร้าง เป็นสินค้าที่มีศักยภาพ โดยเฉพาะเมื่อซาอุฯ ถือเป็นศูนย์กลางในตะวันออกกลาง และมีแผนที่จะขยายและพัฒนาประเทศโดยไม่พึ่งพาน้ำมันเพียงอย่างเดียว เป็นโอกาสในการส่งสินค้าในกลุ่มเครื่องจักรอุตสาหกรรม รถยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์
ด้านการท่องเที่ยว - เมื่อปี 2562 ประเทศไทย มีนักท่องเที่ยวจากซาอุฯ เพียง 36,000 คน ดังนั้น หากมีการเปิดประเทศ มีการประชาสัมพันธ์ที่เหมาะสม จะสามารถดึงนักท่องเที่ยวมาได้เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ หากเทียบกับจำนวนนักท่องเที่ยวซาอุฯ ก่อนเกิดปัญหา มีจำนวน 73,000 คน (ค่าเฉลี่ยปี 2530-2531) คาดว่าจะมีการเดินทางมาไทยประมาณ 150,000 คนต่อปี ก่อให้เกิดรายได้ประมาณ 13,500 ล้านบาท(คิดจากการใช้จ่ายเฉลี่ยของนักท่องเที่ยวซาอุฯ 90,000 บาทต่อราย ในปี 2562)
ด้านตลาดแรงงานไทย - ซาอุดีอาระเบียเคยเป็นตลาดแรงงานที่ใหญ่ที่สุดของไทยในภูมิภาคตะวันออกกลาง ในช่วงปี 2513-2523 โดยทางการไทยประเมินว่า ในช่วงนั้นมีแรงงานไทยเดินทางเข้าไปทำงานในซาอุฯ (ทั้งแบบถูกกฎหมายและไม่ถูกกฎหมาย) มากถึง200,000 คน และส่งเงินกลับประเทศไทยเฉลี่ยประมาณ 9,000 ล้านบาทต่อปี การกลับมาฟื้นความสัมพันธ์ทางการทูตกับซาอุฯ ในครั้งนี้ จะทำให้แรงงานไทยมีโอกาสกลับไปทำงานในซาอุฯ อีกครั้ง เนื่องจากซาอุฯ เองก็ยังมีความต้องการว่าจ้างแรงงานต่างชาติให้เข้าไปทำงานเป็นจำนวนมากโดยเฉพาะโครงการก่อสร้างและปรับปรุงระบบสาธารณูปโภค/สาธารณูปการ รวมถึงการก่อสร้างที่อยู่อาศัย และอาคารสำนักงาน เพื่อรองรับการลงทุนจากต่างประเทศ รวมทั้งโครงการก่อสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกด้านการท่องเที่ยวต่างๆ ทั้งนี้ แม้ว่าซาอุฯ จะมีคนว่างงานจำนวนมาก แต่คนท้องถิ่นก็ไม่ค่อยมีความชำนาญในด้านงานก่อสร้างและงานฝีมือ ทำให้แรงงานไทยซึ่งมีความเชี่ยวชาญด้านการก่อสร้าง เป็นที่ต้องการในตลาดแรงงานของซาอุดีอาระเบีย ดังนั้น เมื่อซาอุดีอาระเบียเปิดโอกาสให้แรงงานไทยขอใบอนุญาตทำงาน (วีซ่า) อีกครั้ง คาดว่าจะทำให้จำนวนแรงงานไทยในซาอุฯ เพิ่มขึ้น จาก 10,000 คน ในปัจจุบัน เป็น 100,000 คน ในระยะ 3 ปี และเพิ่มขึ้นเป็น 200,000 คน ในระยะ 5 ปี เท่ากับปี 2532 ซึ่งจะทำให้มีรายได้ส่งกลับจากแรงงานไทยที่ทำงานอยู่ในต่างประเทศเพิ่มขึ้นจากเดิมอีกประมาณ 4,500-9,000 ล้านบาทต่อปี
ด้านการลงทุนทางตรงจากต่างประเทศ (FDI) - แม้ว่าโอกาสที่ซาอุดีอาระเบียจะขยายการลงทุนทางตรงจากต่างประเทศ (FDI) มายังประเทศไทยในระยะสั้นอาจจะมีไม่มากนัก แต่เมื่อความสัมพันธ์ทางการทูตของทั้งสองประเทศถูกฟื้นฟู ก็จะมีผลทำให้นักธุรกิจมีการติดต่อเจรจาธุรกิจระหว่างกัน ซึ่งจะช่วยดึงดูดให้นักธุรกิจซาอุดีอาระเบียนำเงินมาลงทุนยังประเทศไทยทั้งในระยะกลาง และระยะยาว อย่างไรก็ดี ปัจจุบันซาอุดีอาระเบียได้มุ่งมั่นที่จะดำเนินการตามแผนการปฏิรูป Vision 2030 โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ภาคเอกชนมีส่วนในการเพิ่มสัดส่วน GDP จาก 40% เป็น 65%นอกจากนั้นแผนการปฏิรูปดังกล่าว ยังต้องการเพิ่ม GDP การส่งออก(ในภาคที่ไม่ใช่น้ำมัน) จาก 16% เป็น 50% พร้อมทั้งวางเป้าหมายที่จะลดอัตราการว่างงาน จาก 12% เป็น 7% โดยการขับเคลื่อนให้แผนการปฏิรูปฯ เกิดผลเป็นรูปธรรมนั้น ช่วยสร้างโอกาสในการเข้าไปลงทุนหรือร่วมลงทุนระหว่างกัน โดยทั้งไทยและซาอุฯ สนใจลงทุนในระยะกลางถึงระยะยาวในกลุ่มธุรกิจที่มีความเชี่ยวชาญ นอกจากนั้น ทางซาอุฯ ยังมีโอกาสที่จะย้ายการดำเนินการ Head Quarter ที่ในภูมิภาคนี้มาที่ประเทศไทยด้วย ซึ่งท้ายที่สุด เมื่อผู้ประกอบการไทยได้กำไรจากการลงทุนดังกล่าวแล้ว ก็จะส่งกำไรกลับมายังประเทศไทย เป็นรายได้เข้าประเทศต่อไป
นี่คือภาพสะท้อนถึงโอกาสทางเศรษฐกิจที่เปิดขึ้น จากความสำเร็จในการทำงานทางการเมืองด้านการต่างประเทศของรัฐบาลไทยยุคนี้
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี