การเดินทางเยือนราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย ของนายกรัฐมนตรีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา และคณะเมื่อวันที่ 25-26 ม.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งไปตามคำเชิญของ เจ้าชายมุฮัมมัด บิน ซัลมาน บิน อับดุลอะซีซ อัลซะอูด มกุฎราชกุมารในฐานะรองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหมซาอุดีอาระเบีย นับได้ว่าเป็นการเปิดศักราชใหม่ของความสัมพันธ์ระหว่างราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบียกับราชอาณาจักรไทยทำให้เกิดผลประโยชน์หรือ win win กันทั้งสองฝ่ายได้ดีเกินความคาดหมาย
หากจะมีอะไรติดขัดอยู่บ้างก็คงเป็นเพราะสื่อบางสำนัก นักการเมืองฝ่ายค้านของไทย และทูตนอกแถว ที่โจมตีบิดเบือนใส่ร้ายเพื่อหวังผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในประเทศไทย มิได้มีสายตายยาวไกลไปถึงอนาคตของชาติแต่อย่างใด
สื่อบางสำนักถึงกับบิดเบือนข้อมูลตัดต่อภาพข่าวว่าเจ้าของบ้านไม่ให้เกียรตินายกรัฐมนตรีจากประเทศไทยทำให้ขายหน้า อดีตทูตนอกแถวของไทยก็มีความเคลือบแคลงสงสัยเหตุผลในการเดินทางไปซาอุฯของพลเอกประยุทธ์และคณะ
เท่านั้นยังไม่พอทูตนอกแถวยังวิพากษ์วิจารณ์ประเทศที่นายกฯไทยไปเยือนเสียๆ หายๆ ราวกับไปเอาน้ำลายฝรั่งมาขยายความต่อ ว่าละเมิดสิทธิมนุษยชนบ้าง
ว่าพระองค์สร้างความขัดแย้งในราชวงศ์บ้าง หันมาคบหาประเทศทางตะวันออกเพราะผิดใจกับตะวันตกบ้าง
ทูตนอกแถวกับสื่อชังชาติพวกนี้ไม่เคยเปิดหูเปิดตาดูว่าประเทศที่นายกฯเราไปเยือนเขาอยู่ในระหว่างการเปลี่ยนผ่านอย่างไร มกุฎราชกุมารซึ่งเป็นคนหนุ่มที่มีวิสัยทัศน์ยาวไกล เป็นผู้ริเริ่มปฏิรูปการปกครองประเทศจากอนุรักษ์นิยมสุดโต่งมาเป็นมุสลิมสายกลางที่ผ่อนปรนเรื่องสิทธิมนุษยชนโดยเฉพาะสิทธิสตรีได้ดีมากขึ้นอย่างไรแค่ไหน
แน่นอนการเปลี่ยนแปลงใดๆ การปฏิรูปการปกครองย่อมมีความคิดแตกต่างกันบ้างภายใน เหมือนกับตอนที่ในหลวงรัชกาลที่ ๕ ของประเทศไทยทรงริเริ่มการปฏิรูปประเทศใหม่ๆ พระองค์ต้องเผชิญกับการต่อต้านการปฏิรูปจากฝ่ายอนุรักษ์นิยมหัวเก่าที่ยังต้องการใช้ประโยชน์จากทาสต่อไป
การวิพากษ์วิจารณ์โดยหวังผลทางการเมืองเพียงอย่างเดียวอาจทำให้ผู้ถูกวิจารณ์ไม่พอใจและทำให้ความสัมพันธ์ที่กำลังคืบหน้าล่าช้าลงไปบ้างก็ได้
แต่เชื่อว่าสื่อชังชาติและทูตนอกแถวจะไม่มีพฤติกรรมเช่นนี้หากได้ศึกษาและรู้ว่ามกุฎราชกุมาร นักปฏิรูปของซาอุดีอาระเบียพระองค์นี้ “คือผู้ที่มีอำนาจตัดสินใจแทบทุกเรื่องในซาอุดีอาระเบียอย่างแท้จริง”
จุดเด่นของพระองค์คือการผลักดันซาอุฯ สู่ทิศทางใหม่ในอนาคต จากเดิมที่พึ่งพาน้ำมันเป็นหลักหันมากระจายการลงทุนที่หลากหลายขึ้น เพราะอนาคตของน้ำมันไม่แน่นอนขึ้นทุกวัน
หากสื่อชังชาติและทูตนอกแถวเคยเห็นภาพพระองค์ทรงสัมผัสมือกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง แห่งประเทศจีนและสัมผัสมือกับประธานาธิบดีวลาดีมีร์ ปูติน ของรัสเซีย กับที่พระองค์ทรงสัมผัสมือกับนายกรัฐมนตรีของไทย จะพบความจริงว่าพระองค์ทรงมีพระประสงค์จะผูกมิตรและประสงค์จะลงทุนในประเทศต่างๆ หลากหลายไม่ผูกพันอยู่กับอเมริกาและตะวันตกตลอดไป
หากทูตนอกแถวกับสื่อชังชาติได้เห็นที่พระองค์ทรงให้เกียรติกับประธานาธิบดีจีน ประธานาธิบดีรัสเซีย และกับนายกรัฐมนตรีจากประเทศไทย ว่าพระองค์ทรงมีพระจริยวัตรเหมือนๆ กัน ที่สำคัญนายกรัฐมนตรีไทยสร้างความประทับใจโดยการไหว้แบบไทยก่อนสัมผัสพระหัตถ์
ที่มากไปกว่านั้นถ้าหากสื่อไทยบางสำนัก ทูตนอกแถวและหัวหน้าพรรคฝ่ายค้านในประเทศไทย ได้เห็นภาพวีดีโอที่สื่อทางการซาอุดีอาระเบียปล่อยออกมา จะพบว่าพลเอกประยุทธ์ได้รับการต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่เกรียงไกรสมเกียรติของแขกผู้ได้รับเชิญจากมกุฎราชกุมาร
และถ้าสื่อบางสำนัก ทูตนอกแถวและหัวหน้าพรรคฝ่ายค้านได้อ่านข่าวจาก Saudi Gazette ซึ่งเป็นสื่อทางการของซาอุดีอาระเบียรายงานเมื่อวันที่ 26 ม.ค. ในการเจรจาระหว่างนายกรัฐมนตรีไทยกับมกุฎราชกุมารซาอุดีอาระเบีย ซึ่งทรงดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมในเวลาเดียวกันจะพบว่าทั้งสองประเทศตกลงจะฟื้นฟูความสัมพันธ์ต่อกันหลังจากเย็นชามานานกว่า 32 ปี โดยที่ทั้งสองประเทศจะแต่งตั้งทูตไปประจำประเทศซึ่งกันและกันในอนาคตอันใกล้นี้ นี่คือการฟื้นฟูความสัมพันธ์ก้าวสำคัญ
นอกจากนั้นสายการบินแห่งชาติซาอุดีอาระเบีย ยังทวีตข้อความเป็นภาษาอังกฤษว่าสายการบินซาอุดีอาระเบียจะกลับมาเปิดทำการบินตรงจากกรุงริยาร์ดมาลงในประเทศไทยใน พ.ค. 2565 นี้
Saudi Gazette ไม่ได้รายงานว่าทั้งสองฝ่ายได้ยกเรื่องเลวร้ายที่เกิดขึ้นในประเทศไทยในปี 2532-2533 ขึ้นมาเจรจาแต่อย่างใด แต่ Saudi Gazette รายงานด้วยว่าพลเอกประยุทธ์ พูดขึ้นมาเองโดยความสมัครใจว่า
“ในนามนายกรัฐมนตรีแห่งประเทศไทยข้าพเจ้าขออภัยและเสียใจอย่างสุดซึ้งกับโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นในประเทศไทยในปี 2532-2533 หากมีหลักฐานใหม่ที่อาจโยงไปถึงเหตุการณ์เหล่านั้น ข้าพเจ้าในฐานะนายกรัฐมนตรีจะสั่งการให้ผู้มีอำนาจหน้าที่รื้อฟื้นคดีขึ้นมา สอบสวนใหม่” นั่นเป็นการแสดงสปิริตและมารยาทที่ดีของแขกที่ไปเยือนประเทศผู้เสียหาย
ทั้งหมดนั้นคือประเทศซาอุดีอาระเบียรายงานในสื่อทางการของเขา
ส่วนข่าวการละเมิดสิทธิมนุษยชน ข่าวถูกกล่าวว่าโหดร้ายทำให้นักข่าวตาย ข่าวการทำสงครามล้างผลาญกับประเทศเยเมนและข่าวการปฏิรูปโดยจำใจนั้นเป็นเรื่องที่สื่อต่างประเทศ สื่อบางสำนักในประเทศไทย และฝ่ายต่อต้านจินตนาการและขุดคุ้ยกันขึ้นมาเอง โดยความตั้งใจขัดขวางการฟื้นฟูความสัมพันธ์ซาอุฯ-ไทยไม่ให้คืบหน้า แต่ความพยายามมของสื่อชังชาติ ทูตนอกแถวตลอดถึงหัวหน้าพรรคฝ่ายค้านหาสัมฤทธิผลดังที่ต้องการไม่ เพราะการปฏิรูปและบริบทสังคมในประเทศซาอุดีอาระเบียและในประเทศไทยได้ก้าวหน้าไปไกลเกินกว่าฝ่ายต่อต้านรัฐบาลจะตามทัน
คอลัมน์นี้ไม่จำเป็นต้องเขียนถึงผลประโยชน์ทางด้านแรงงาน ด้านการท่องเที่ยว ด้านการค้าและด้านพลังงานที่ประเทศไทยอาจมีรายได้เพิ่มขึ้นเป็นแสนๆ ล้าน จากการฟื้นฟูความสัมพันธ์ครั้งประวัติศาสตร์นี้ เพราะบรรดารัฐมนตรี นักวิชาการและนักการค้าได้พูดจาให้สัมภาษณ์สื่อกันมากแล้ว
แต่สิ่งหนึ่งละเว้นไม่ได้คือต้องยกความดีในความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ครั้งนี้ให้กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทยผู้ปิดทองหลังพระมาอย่างยาวนานในการทำงานทางการทูตเงียบๆ เทียวไปเทียวมาระหว่างประเทศไทยกับซาอุดีอาระเบีย หลายครั้ง จนกระทั่งมีการฟื้นฟูความสัมพันธ์คืบหน้ามาถึงวันที่มกุฎราชกุมารซาอุดีอาระเบีย เชิญนายกรัฐมนตรีไทยไปเยือนอย่างเป็นทางการ
ผู้ที่น่ายกย่องคนนั้นคือ นายดอน ปรมัตถ์วินัยนักการทูตมืออาชีพที่ไม่เอาดีใส่ตัว เมื่อถูกผู้สื่อข่าวถามถึงเรื่องฟื้นฟูความสัมพันธ์ นายดอนตอบว่า “เป็นความพยายามของนายกรัฐมนตรีที่ทำให้ความสัมพันธ์ ซาอุดีอาระเบีย-ไทยคืบหน้าตลอดเวลาหลายปี”
พฤติกรรมอย่างนี้ตรงกับกระแสพระราชดำรัสของในหลวงรัชกาลที่ ๙ ที่ทรงตรัสว่าปิดทองหลังพระไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีคนเห็น เพราะเมื่อปิดทองหลังพระนานๆ ทองจะล้นออกข้างหน้าให้เห็นเอง”
ส่วนนายกรัฐมนตรีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาก็รู้ว่าความสำเร็จใดๆ ที่เกิดขึ้นในรัฐบาลนี้ ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ การพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือแม้บัตรคนจนโครงการไทยชนะ โครงการคนละครึ่ง การปลูกกัญชาถูกกฎหมาย ตลอดถึงโครงการประกันราคาพืชผล หากมันเป็นผลสำเร็จ ประวัติศาสตร์ก็ต้องจารึกว่าเป็นผลงานในรัฐบาลของท่านอยู่แล้ว
“ดีแล้วที่รัฐบาลนี้มีรัฐมนตรีปิดทองหลังพระ มากกว่ารัฐมนตรีที่จ้องแทงข้างหลัง”
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี