ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งการเมือง ก่อกำเนิดมาเพื่อต้องการเร่งรัดให้การปราบปรามและลงโทษผู้ถือตำแหน่งทางการเมืองใช้อำนาจไปทุจริตคอร์รัปชัน โดยให้จบเพียงในศาลฎีกานี้เพียงศาลเดียว ซึ่งในระยะแรกๆ ก็ดูจะได้ผลดีมาก สามารถตัดสินลงโทษหลายคดีได้อย่างรวดเร็ว แต่เมื่อต่อมามีผู้ร้องเรียนให้แก้ไขกฎหมายเป็นให้ผู้ถูกตัดสินสิ้นสุดแล้วสามารถยื่นอุทธรณ์ได้อีกภายใน 30 วันซึ่งในกรณีของนายวัฒนา เมืองสุข ได้ยื่นอุทธรณ์ ยืดเวลาออกไปได้อีกเกือบ 2 ปี
ก่อนหน้านี้ ถ้ามาไล่ดูช่วงเวลาการพิจารณาสอบสวนคดีนี้ ตั้งแต่คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ที่ตั้งขึ้นโดยคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ จากการรัฐประหารใน พ.ศ.2549 ได้ส่งผลการรวบรวมสืบสวนต่างๆ ส่งให้สำนักงานอัยการสูงสุด (อสส.) ดำเนินการต่อ หลังจาก คตส. สิ้นสุดการทำงานลงในปี พ.ศ. 2551
ต่อมา อัยการสูงสุดได้ชี้ขาดพิจารณาสั่งคดีเมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2552 ว่าเห็นควรให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. ไต่สวนข้อเท็จจริงให้ครบถ้วนมากยิ่งขึ้นเนื่องจากมีเจ้าหน้าที่ของรัฐและผู้ประกอบการรายอื่น มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดนี้ด้วย
เรื่องนี้จึงเข้าสู่กระบวนการทำงานของ ป.ป.ช. เป็นเวลาอีกถึง 8 ปี ก่อนที่ในปี พ.ศ. 2560 ป.ป.ช. จะได้ส่งคดีกลับไปให้อัยการสูงสุดส่งฟ้องศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง โดยชี้ข้อมูลความผิดนายวัฒนา เมืองสุขอดีต สส. บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย สมัยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ในความผิด ร่วมกับผู้ถูกกล่าวหาอีกจำนวนหนึ่ง เรียกรับเงินจากผู้ประกอบการเอกชนในการจัดซื้อจัดจ้างโครงการบ้านเอื้ออาทร โดยนายวัฒนา เมืองสุข ในฐานะผู้กำกับดูแลกระทรวง พม. ซึ่งกำกับดูแลการเคหะแห่งชาติ เจ้าของโครงการ
จนถึงวันที่ 24 กันยายน 2563 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จึงมีคำพิพากษา นายวัฒนา เมืองสุข จำเลยที่ 1 ตามความผิดมาตรา 148 ของประมวลกฎหมายอาญา 11 กระทง กระทงละ 9 ปี รวม 99 ปี แต่คงให้จำคุกจริง 50 ปี ส่วนนายอภิชาติ จันทร์สกุลพรหรือเสี่ยเปี๋ยง จำเลยที่ 4 มีความผิด 11 กระทง กระทงละ 6 ปี รวม 66 ปี จำคุกจริง 50 ปี
แต่เรื่องก็ยังไม่จบ เพราะจากการปรับแก้กฎหมายใหม่ ผู้ที่ถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง สามารถยื่นอุทธรณ์ได้ ทำให้กระบวนการล่าช้าออกไปอีกเกือบ 2 ปี จนในที่สุดผลการตัดสินออกมาว่านายวัฒนา เมืองสุข มีความผิดจริง ต้องจำคุกในเดือนมีนาคม 2565 นี้เอง
คดีนี้ดำเนินการมานานและยุ่งยากแค่ไหน คงต้องไปสังเกตจากอาจารย์แก้วสรร อติโพธิ ซึ่งเป็นผู้ที่ขุดค้นคดีทุจริตบ้านเอื้ออาทรมาเป็นเวลา 16 ปี ตั้งแต่เป็นอาจารย์หนุ่มธรรมศาสตร์ ต้องเคร่งเครียดมาตลอด จนสุขภาพทรุดโทรมไปอย่างมาก อาจารย์แก้วสรรเล่าเองว่า “...ผมเครียดบ่อย ไม่พักผ่อนออกกำลัง มะเร็งมันก็เกิดขึ้นมาครอบงำเซลล์หลอดอาหารของผม กลายเป็นอีกภพหนึ่งในร่างกาย ที่กำลังครอบงำชักพาเซลล์ของผมให้เติบโตไปเองเป็นปฏิปักษ์และทำลายภพปกติลงไปทุกวัน...”
จากกรณีนี้ ผมเลยมีข้อสังเกต 2 ประการ สำหรับกรณีนี้ ข้อ1 ระบบศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งการเมืองที่ว่าจะตัดสินนักการเมืองทุจริต เข้าสู่กระบวนการพิจารณาโทษได้รวดเร็วขึ้น ดูเหมือนจะไม่ได้ผลอย่างที่คาดหวังไว้แล้ว เกิดเป็นคำถามขึ้นมาว่า กระบวนการเช่นนี้ส่งเสริมการต่อต้านการคอร์รัปชันในไทยอย่างที่มุ่งหวังในการก่อตั้งศาลฯ นี้มามากน้อยเพียงใด
ข้อสอง กฎหมายอาญามาตรา 148 และ มาตรา 149 ตามประมวลกฎหมายอาญา ที่ดูว่าเป็นกฎหมายครอบจักรวาล ก็มีประโยชน์ที่จะนำนักการเมืองเข้าสู่การลงโทษได้ และมีตัวอย่างถึงขั้นคำพิพากษาศาลฎีกา ซึ่งจะสามารถนำไปใช้พิจารณาอ้างอิงต่อไปในภายภาคหน้าได้
ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 148 มีว่า ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบ ข่มขืนใจหรือจูงใจเพื่อให้บุคคลใดมอบให้หรือหามาให้ซึ่งทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดแก่ตนเองหรือผู้อื่น จากคู่สัญญากับการเคหะแห่งชาติ 7 โครงการ 7,500 ยูนิต มูลค่า 2,500 ล้านบาท คดีนี้ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 5-20 ปี หรือจำคุกตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่ 2,000-40,000 บาท หรือประหารชีวิต
ส่วนมาตรา 149 ฐานเป็นเจ้าพนักงานเรียกรับ หรือยอมจะรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเอง หรือผู้อื่นโดยมิชอบ เพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่ง ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 5-20 ปี หรือจำคุกตลอดชีวิตและปรับตั้งแต่ 100,000-400,000 บาท หรือประหารชีวิต
โดยในกรณีนี้ถึงแม้ว่าจะไม่มีหลักฐานเป็นเอกสารชัดเจนหรือมีประจักษ์พยานของการรับเงินแต่อย่างใด แต่ศาลก็ได้พิจารณาจากประจักษ์พยานรอบๆ คดีนี้ ซึ่งชี้ว่าเสี่ยเปี๋ยง ซึ่งเข้าไปนั่งทำงานเป็นที่ปรึกษาของรัฐมนตรีอยู่ และเป็นผู้ที่ไปทำการเรียกเงินสินบนต่างๆ หากไม่ได้อ้างหรือมีความเกี่ยวข้องกับรัฐมนตรีจริง ก็คงไม่สามารถจะทำให้นักธุรกิจต่างๆ ยอมจ่ายเงินเป็นร้อยเป็นพันล้าน ได้
จึงฝากเป็นคำถามสำหรับพวกเราทุกคน โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในวงการยุติธรรมไทยด้วยนะครับ
รศ.ดร.ต่อตระกูล ยมนาค และ ผศ.ดร.ต่อภัสสร์ ยมนาค
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี