คำพิพากษาศาลฎีกา กรณี น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ เป็นที่กล่าวขาน
ทั้งในหมู่คนที่ “ชังและชอบปารีณา”
และยังเป็นกรณีแรกที่ถูกดำเนินการโดย ป.ป.ช. ชี้ว่าฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมและส่งให้ศาลฎีกา จนนำมาสู่คำพิพากษาให้พ้นจากตำแหน่งสส. + เพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 10 ปี + เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งตลอดไป ไม่สามารถดำรงตำแหน่งทางการเมืองใดๆ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 235 วรรคสี่
อย่างไรก็ตาม ปรากฏว่ามีการนำเรื่องนี้ไปขยายความในลักษณะตัดตอน เพิ่มเติม จนคลาดเคลื่อนไปจากคำพิพากษาจริง หลายประการ
ตามคำพิพากษานี้ ปารีณาผิดจริยธรรมอย่างไรกันแน่?
1. คดีหมายเลขแดงที่ คมจ. 1/2565
คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ผู้ร้อง
นางสาวปารีณา ไกรคุปต์ ผู้คัดค้าน
คดีนี้ ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ศาลฎีกามีคำพิพากษาหรือคำสั่งว่า ผู้คัดค้านฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง
คดีนี้ ไม่เกี่ยวคดีความผิดทางอาญาฐานทางรุกป่า หรือค่าเสียหายทางแพ่งใดๆ เลย
2. คดีนี้ เป็นคดีแรกที่ใช้มาตรฐานทางจริยธรรมตรวจสอบ สส.
ศาลฎีกาวางบรรทัดฐานไว้ชัดเจนว่า “รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 219 วรรคหนึ่ง บัญญัติให้ศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระร่วมกันกำหนดมาตรฐานทางจริยธรรมขึ้นใช้บังคับแก่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ รวมทั้งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน และหัวหน้าหน่วยงานธุรการของศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ และเมื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับได้ โดยมาตรา 234 วรรคหนึ่ง (1) บัญญัติให้เป็นอำนาจของผู้ร้อง (ป.ป.ช.) ในการไต่สวนกรณีมีการกล่าวหาว่าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง”
ยิ่งกว่านั้น ศาลฎีกายังวินิจฉัยไว้เสร็จสรรพว่า แม้สภาผู้แทนราษฎรมีข้อบังคับว่าด้วยประมวลจริยธรรมของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและกรรมาธิการ พ.ศ. 2563 แต่การตรวจสอบโดย ป.ป.ช.ก็กระทำได้ ไม่มีบทกฎหมายใดจำกัดให้ต้องดำเนินการเฉพาะทางใดทางหนึ่งเท่านั้น
3. ครอบครองที่ดินมาก่อน ก็ไม่ใช่ว่าจะรอด
ศาลฎีกาชี้ว่า แม้สส.ปารีณาครอบครองที่ดินตั้งแต่ปี 2555 ถึงปี 2562 เป็นการครอบครองที่ดินทั้งก่อนและหลังมาตรฐานทางจริยธรรม บัญญัติขึ้น แต่เมื่อมาตรฐานทางจริยธรรม มีผลใช้บังคับแล้ว สส.ย่อมถูกผูกพันบังคับมิให้กระทำการใดอันขัดต่อมาตรฐานทางจริยธรรม อีกต่อไป
เมื่อมีการกล่าวหาว่า สส.ปารีณามีการกระทำอันเป็นการครอบครองที่ดินที่ต่อเนื่องกันมาจนถึงเวลาที่มาตรฐานทางจริยธรรม และบทกฎหมายมีผลใช้บังคับ ป.ป.ช.ย่อมมีอำนาจไต่สวนและมีมติได้
เท่ากับว่า แม้จะครอบครองที่ดินมาก่อน แต่เมื่อยังครอบครองต่อเนื่องจนถึงช่วงที่มาตรฐานทางจริยธรรมมีผลใช้บังคับ ก็ไม่รอด
4. ศาลฎีกาไม่ได้ชี้ว่าปารีณารุกป่า
คดีนี้ ที่ดินพิพาทที่ทำให้ศาลฎีกาลงโทษปารีณาในกรณีนี้ คือ ที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดิน 665 ไร่ 1 งาน 53 ตารางวาครอบครองโดยไม่มีเอกสารสิทธิใดที่จะใช้ยันกับรัฐได้
5. ปารีณาไม่ผิดมาตรฐานจริยธรรมฐานกระทำการอันเป็นการขัดกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนกับประโยชน์ส่วนรวม (ข้อ 11)
ศาลฎีกาชี้ว่า การกระทำอันเป็นการฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมตามข้อ 11 จะต้องมีการกระทำที่ขัดกันแห่งผลประโยชน์ โดยจะต้องมีสถานการณ์หรือการกระทำที่บุคคลในองค์กรหรือหน่วยงานนั้นๆ มีผลประโยชน์ส่วนตนอันอาจกระทบต่อการวินิจฉัยสั่งการหรือการใช้ดุลพินิจในการปฏิบัติงานตามอำนาจหน้าที่ในตำแหน่งของบุคคลนั้น โดยอาจเป็นอำนาจหน้าที่ในการกำกับ ดูแล ควบคุม หรือตรวจสอบในเรื่องที่ตนมีผลประโยชน์เกี่ยวข้องด้วย
“ผู้คัดค้าน (ปารีณา) ดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมีหน้าที่หลักในทางนิติบัญญัติ ผู้คัดค้านไม่ได้มีอำนาจหน้าที่โดยตรงในการกำกับ ดูแล ควบคุม หรือตรวจสอบการปฏิบัติงานของกรมป่าไม้ และสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม การเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของผู้คัดค้านไม่มีผลต่อการวินิจฉัยคุณสมบัติของผู้คัดค้านในการที่จะมีสิทธิครอบครองที่ดินทั้งในเขตป่า เขตป่าสงวนแห่งชาติและเขตปฏิรูปที่ดิน ไม่ปรากฏว่าผู้คัดค้านเข้าไปเกี่ยวข้องโดยมีส่วนร่วมในการตัดสินใจหรือมีการปฏิบัติงานในหน้าที่อย่างใดอย่างหนึ่งในกรมป่าไม้หรือสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม การกระทำของผู้คัดค้านฟังไม่ได้ว่า มีการกระทำอันเป็นการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนตนกับประโยชน์ส่วนรวม...”
6. ปารีณาผิดมาตรฐานทางจริยธรรมฐานกระทำการที่ก่อให้เกิดความเสื่อมเสียต่อเกียรติศักดิ์ของการดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
ศาลฎีกาชี้ว่า ผู้คัดค้าน (ปารีณา) ครอบครองที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดิน 665 ไร่ 1 งาน 53 ตารางวา โดยไม่มีเอกสารสิทธิใดที่จะใช้ยันกับรัฐได้ ในขณะที่บริเวณรอบๆ มีการปฏิรูปที่ดินและมีการออก ส.ป.ก. 4-01 แล้วหลายสิบแปลง เมื่อสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประกาศให้ประชาชนในพื้นที่ใกล้เคียงกับที่ดินพิพาทให้เข้าสู่กระบวนการปฏิรูปที่ดินมาตั้งแต่ปี 2554 และเมื่อสำนักงานปฏิรูปที่ดินจังหวัดราชบุรีประกาศให้ผู้ครอบครองที่ดินมายื่นคำขอเข้าทำประโยชน์เพื่อเข้าสู่กระบวนการปฏิรูปที่ดินอีกครั้งในวันที่ 17 มิถุนายน 2562 ผู้คัดค้าน (ปารีณา) ก็ยังไม่เข้าสู่กระบวนการปฏิรูปที่ดิน
ผู้มีสิทธิขอรับการจัดสรรที่ดินจะต้องมีคุณสมบัติเป็นเกษตรกร ไม่มีที่ดินเพื่อประกอบเกษตรกรรมเป็นของตนเองหรือของบุคคลในครอบครัวเดียวกัน หรือมีที่ดินเพียงเล็กน้อยแต่ไม่เพียงพอต่อการประกอบเกษตรกรรมเพื่อเลี้ยงชีพ การจัดสรรที่ดินในเขตปฏิรูปจะจัดสรรให้ไม่เกินคนละ 50 ไร่ ศาลฎีกาชี้ว่าผู้คัดค้าน (ปารีณา) ไม่เข้าสู่กระบวนการปฏิรูปที่ดินเพราะทราบดีว่าตนครอบครองที่ดินมีจำนวนเนื้อที่มากกว่าเกษตรกรคนอื่นซึ่งได้รับ ส.ป.ก. 4-01 ในบริเวณใกล้เคียงกับที่ดินพิพาทนับสิบเท่า การเข้าสู่กระบวนการปฏิรูปที่ดินอาจมีผลให้ผู้คัดค้านสูญเสียการครอบครองที่ดินพิพาท
“...จนกระทั่งผู้คัดค้านถูกร้องเรียนและมีการเข้าตรวจสอบพร้อมตรวจยึดที่ดิน ผู้คัดค้านจึงคืนที่ดินเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2562 หาใช่ผู้คัดค้านสมัครใจส่งมอบที่ดินเพื่อเข้าสู่กระบวนการปฏิรูปที่ดินเอง
ผู้คัดค้านเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรรวม 4 สมัย ย่อมมีความรู้เกี่ยวกับการได้รับการจัดสรรที่ดินในเขตปฏิรูปการที่ผู้คัดค้านครอบครองที่ดินพิพาทที่ไม่มีเอกสารสิทธิจำนวนหลายร้อยไร่ และทำประโยชน์มาอย่างต่อเนื่องโดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นการปิดโอกาสเกษตรกรรายอื่น ทำให้ไม่สามารถนำที่ดินไปจัดสรรให้แก่ผู้ยากไร้และไม่มีที่ดินทำกิน ย่อมทำให้ประชาชนทั่วไปเกิดความเคลือบแคลงใจว่า เหตุใดผู้คัดค้านซึ่งดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจึงสามารถครอบครองที่ดินจำนวนหลายร้อยไร่ในเขตปฏิรูปที่ดินได้ ปรากฏตามบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินว่าผู้คัดค้านเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินมีเอกสารสิทธิเป็นโฉนดที่ดินและ น.ส. 3 ก หลายสิบแปลง ผู้คัดค้านจึงมิใช่ผู้ที่ไม่มีที่ดินเป็นของตนเองและผู้คัดค้านยังมีทรัพย์สินรวมกว่า 163 ล้านบาท ไม่เป็นคนยากจน จึงขาดคุณสมบัติมาตั้งแต่ต้น ดังนั้น การเข้าครอบครองที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินของผู้คัดค้านโดยทราบว่าตนไม่มีคุณสมบัติที่จะได้รับการจัดสรรที่ดินในเขตปฏิรูปและโดยที่รู้อยู่ว่าตนไม่มีเอกสารสิทธิ ย่อมเป็นเรื่องที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรซึ่งควรเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ประชาชนทั่วไปไม่พึงปฏิบัติ การกระทำของผู้คัดค้านจึงเป็นการก่อให้เกิดความเสื่อมเสียต่อเกียรติศักดิ์ในการดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตามมาตรฐานทางจริยธรรมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ รวมทั้งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน และหัวหน้าหน่วยงานธุรการของศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ พ.ศ. 2561 ข้อ 17 ซึ่งจริยธรรมข้อนี้หมายถึงการรักษาชื่อเสียงของตำแหน่งหน้าที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการไม่ประพฤติปฏิบัติตนหรือดำเนินการอื่นใดที่ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์และเกิดความเสียหายต่อชื่อเสียงของผู้ดำรงตำแหน่งและองค์กรของผู้ดำรงตำแหน่งแม้จะมิได้เป็นการใช้อำนาจหน้าที่ของตนโดยตรงก็ตาม...”
7. ถึงไม่มีพฤติกรรมก้าวก่ายแทรกแซง ก็ไม่รอด ถึงอ้างว่าประกอบอาชีพเลี้ยงดูบุพการี ก็ไม่รอด
ศาลฎีกา ชี้ว่า การที่ผู้คัดค้าน (ปารีณา) เข้าครอบครองที่ดินเนื้อที่จำนวนมากถึง 665 ไร่ 1 งาน 53 ตารางวา เพื่อประกอบกิจการค้าขนาดใหญ่ในเขตปฏิรูปที่ดินโดยไม่มีเอกสารสิทธิใด ถือได้ว่าก่อให้เกิดความเสียหายร้ายแรงต่อความเชื่อมั่นในการบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับการปฏิรูปที่ดิน พฤติกรรมของการฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมดังกล่าวประกอบกับเจตนาและความร้ายแรงของความเสียหายที่เกิดจากการฝ่าฝืนแล้ว เห็นได้ว่าเป็นกรณีมีลักษณะร้ายแรงตามมาตรฐานทางจริยธรรม ข้อ 27 วรรคสอง ผู้คัดค้านไม่อาจอ้างหน้าที่เลี้ยงดูบิดามารดาอันเป็นหน้าที่ส่วนตนเพื่อก่อภาระแก่สังคมโดยรวมได้ ผู้คัดค้านเป็นผู้มีหน้าที่ในทางนิติบัญญัติควรต้องปฏิบัติตนเป็นตัวอย่างที่ดีในการเคารพและปฏิบัติตามกฎหมาย แม้ต่อมาผู้คัดค้านจะส่งมอบพื้นที่พิพาทคืนให้แก่สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมทั้งหมดโดยไม่มีเงื่อนไข ก็ไม่ทำให้การฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมที่เกิดขึ้นมาแล้วกลับกลายเป็นไม่เคยเกิดขึ้นได้
8. บทลงโทษสถานหนัก
ศาลฎีกาพิพากษาว่า ผู้คัดค้าน (ปารีณา) ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง จึงให้ลงโทษ ดังนี้
หนึ่ง ให้พ้นจากตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดราชบุรี นับแต่วันที่ 25 มีนาคม 2564 อันเป็นวันที่ศาลฎีกามีคำสั่งให้ผู้คัดค้านหยุดปฏิบัติหน้าที่
สอง เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง รวมถึงไม่มีสิทธิดำรงตำแหน่งทางการเมืองใดๆ ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 235 วรรคสี่
สาม เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนดเวลา 10 ปี นับแต่วันที่ศาลฎีกามีคำพิพากษา
เรียกว่า ลงโทษตามตัวบทกฎหมายอย่างเต็มที่
ศาลฎีกาไม่ได้ใช้คำว่า “ห้ามตลอดชีวิต” แต่ศาลใช้คำตามรัฐธรรมนญ คือ “ผู้ใดถูกเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งไม่ว่าในกรณีใด ผู้นั้นไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งหรือสมัครรับเลือกเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา สมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นตลอดไป และไม่มีสิทธิดํารงตําแหน่งทางการเมืองใดๆ”
9. กลไกนี้ ถือเป็น “เรื่องใหม่” ในรัฐธรรมนูญฉบับปราบโกงที่ผ่านประชามติ
ตัวอย่างมาตรฐานทางจริยธรรม ที่อาจให้มีการตรวจสอบสส. นักการเมืองที่ฝ่าฝืน อาทิ
ต้องพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ เอกราช อธิปไตย บูรณภาพแห่งอาณาเขตและเขตที่ประเทศไทยมีสิทธิอธิปไตย เกียรติภูมิและผลประโยชน์ของชาติ ความมั่นคงของรัฐและความสงบเรียบร้อยของประชาชน
ต้องไม่รับของขวัญ ของกํานัล ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดเว้นแต่เป็นการรับจากการให้โดยธรรมจรรยา และการรับที่มีบทบัญญัติแห่งกฎหมาย ระเบียบ หรือข้อบังคับให้รับได้
ให้ข้อมูลข่าวสารตามข้อเท็จจริงแก่ประชาชนหรือสื่อมวลชนอันอยู่ในความรับผิดชอบของตน ถูกต้องครบถ้วนและไม่บิดเบือน
ไม่คบหาสมาคมกับคู่กรณี ผู้ประพฤติผิดกฎหมายผู้มีอิทธิพล หรือผู้มีความประพฤติ หรือผู้มีชื่อเสียงในทางเสื่อมเสีย อันอาจกระทบกระเทือนต่อความเชื่อถือศรัทธาของประชาชนในการปฏิบัติหน้าที่
ไม่กระทําการอันมีลักษณะเป็นการล่วงละเมิดหรือคุกคามทางเพศ จนเป็นเหตุทําให้ผู้ถูกกระทําได้รับความเดือดร้อนเสียหายหรือกระทบต่อการปฏิบัติหน้าที่ โดยผู้ถูกกระทําอยู่ในภาวะจําต้องยอมรับในการกระทํานั้น ไม่นําความสัมพันธ์ทางเพศที่ตนมีต่อบุคคลใดมาเป็นเหตุหรือมีอิทธิพลครอบงําให้ใช้ดุลพินิจในการปฏิบัติหน้าที่อันเป็นคุณหรือเป็นโทษแก่บุคคลใด ฯลฯ
ลองหลับตานึกถึง กรณี สส.ไปกราบตีนนักโทษหนีคดีทุจริต กรณี สส.โกหกพกลมบิดเบือนข้อมูลต่อสังคมในเรื่องต่างๆ อาทิ เรื่องวัคซีน เรื่องม็อบ เรื่องดิสเครดิตผู้นำประเทศด้วยเฟคนิวส์ ฯลฯ
หรือเอาแค่เรื่องที่มี สส.แจ้งว่าถือครองที่ดิน ส.ป.ก. ในบัญชีทรัพย์สิน ในขณะที่ตัวเองมีทรัพย์สินนับสิบนับร้อยล้านบาท ก็มีอีกหลายคน ทั้ง สส.ฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านในปัจจุบัน
นี่คืออิทธิฤทธิ์ของรัฐธรรมนูญปราบโกง ที่นักการเมืองบางส่วนอาจจะไม่ชอบ
สันติสุข มะโรงศรี
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี