ผ่านการอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติไปแล้ว พรรคการเมืองหลายพรรคก็เริ่มปรับกระบวนทัพ ส่งสัญญาณทางการเมือง
บรรดาพรรคการเมืองทั้งหลาย ในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา พรรคที่เคยเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล หรือผู้นำพรรคเคยได้เป็นนายกรัฐมนตรี ได้แก่ พรรคเพื่อไทย (ทักษิณ สมัคร สมชาย ยิ่งลักษณ์ เศรษฐา) พรรคประชาธิปัตย์ (อภิสิทธิ์) พรรคพลังประชารัฐ (พลเอกประยุทธ์)
ส่วนพรรคที่มาแรง ก็คือพรรคก้าวไกล ยังไม่มีโอกาสเป็นรัฐบาล
มองในมุมเศรษฐศาสตร์พรรคการเมือง พรรคการเมืองแต่ละพรรค มีพัฒนาการอย่างไร?
1. พรรคก้าวไกล อาจถูกยุบพรรค เพราะการกระทำล้มล้างการปกครอง
พรรคก้าวไกลเคยได้รับโอกาสที่ดีในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา มี สส. จากการเลือกตั้งมากถึง 151 เสียง แต่เมื่อไม่เกินกึ่งหนึ่ง ก็ต้องแสวงหาพรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งปรากฏว่า ในบรรดาพรรคการเมืองที่มาจับมือสนับสนุนช่วงแรกนั้น ส่วนใหญ่ก็ไม่มีใครเอาด้วยกับแนวทางที่จะไปแก้ไขหรือยกเลิกมาตรา 112 และในที่สุด นายพิธายืนยันเรื่องท่าทีแนวทางต่อเรื่องมาตรา 112 แถมประกาศจะจัดวางพระราชสถานะและพระราชอำนาจใหม่ ในที่สุด ก็ได้คะแนนจากรัฐสภาไม่ถึงกึ่งหนึ่ง
สุดท้าย พรรคก้าวไกลก็ต้องเป็นฝ่ายค้าน และอาจจะถูกยุบพรรค เพราะพฤติการณ์เคลื่อนไหวแก้ไขหรือล้มล้างมาตรา 112 ซ่อนเร้นเจตนาที่แท้จริงในการกัดกร่อน บั่นเซาะ บ่อนทำลาย ลดการคุ้มครองสถาบันพระมหากษัตริย์ สนับสนุนกลุ่มล้มล้างมาตรา 112 และผู้กระทำผิดมาตรา 112 เข้าข่ายใช้สิทธิเสรีภาพล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
พรรคก้าวไกลมีจุดเด่นเรื่องการใช้สื่อโซเชียล ร่วมกับอินฟลูฯในเครือข่าย ในการปั่นกระแส สร้างภาพลักษณ์ สร้างวาทกรรมที่เป็นบวกแก่ตนเอง และโจมตีฝ่ายตรงข้าม
แต่เวลาผ่านไป ความจริงเริ่มปรากฏ น้ำลดตอเริ่มผุด เลือกตั้งท้องถิ่นก็แพ้ราบ
ภาพลักษณ์ที่สร้างว่าเป็นพรรคคนรุ่นใหม่ การเมืองใหม่ หัวใหม่ เก่งกล้าสามารถ ความจริงก็ค่อยๆ ปรากฏว่าไม่ตรงปก
การพูดเพื่อปั่นกระแส จะพูดสุดโต่งอย่างไร เอาให้สะใจแค่ไหน ใครก็พูดได้ แต่ในโลกความเป็นจริง ทำไม่ได้ หรือถ้าทำจริง ก็จะมีความเสียหายระดับหายนะ
ดังเช่นที่นายพิธาก็ยอมรับด้วยตนเองแล้ว ว่าไม่สามารถขึ้นค่าแรงขั้นต่ำพรวดเดียวเลยทันทีเมื่อครั้งจะเข้าเป็นนายกฯ
สส. ก้าวไกล เล่นการเมืองไม่ต่างจากนักการเมืองน้ำเน่า เล่นเกมล่มการประชุมสภา มีทั้ง สส. หนีทหาร ก้าวกาม ซิกแซกเงินสนับสนุนจากรัฐ หมกมุ่นกับการโจมตีด้อยค่าสถาบัน ช่วยคนทำผิด 112 และหลายเรื่องที่เคยป่าวประกาศปั่นกระแส เช่น วัคซีนเทพ ไฮเปอร์ลูป เรือประมงแทนเรือรบ แนวทางปฏิปักษ์กับจีน โปรสหรัฐสุดลิ่ม ฯลฯ สุดท้าย ล้วนพิสูจน์แล้วว่า ไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง แค่โหนไปตามกระแส เหมือนวิถีของอินฟลูฯในโลกโซเชียล ซึ่งเหมาะที่จะเล่นสนุกในโซเชียล แต่เป็นเพียงเด็กเล่นขายของในโลกที่ต้องรับผิดชอบประเทศชาติและชีวิตผู้คนจริงๆ
สิ่งที่เคยเป็นจุดแข็ง เมื่อผู้ที่เคยสนับสนุนตาสว่าง แรงสนับสนุนก็จะหายไปเหมือนบางยุคที่คนเห่อของใหม่เป็นพักๆ เพราะเดี๋ยวก็มีของใหม่กว่า
การสร้างดีมานด์เทียม จากการปั่นกระแส สร้างภาพฟองสบู่คนรุ่นใหม่ แถมเล่นผิดกติกาซ้ำซาก พาคนไปติดคุกระนาว รอแค่วันที่ฟองสบู่แตก
2. พรรคเพื่อไทย ดีเอ็นเอทักษิณ คือจุดแข็งและจุดอ่อน
การที่นายทักษิณ ชินวัตร เดินทางไปเชียงใหม่ก็ดีเข้าพรรคเพื่อไทยก็ดี รวมถึงพูดในการประชุมใหญ่ของพรรค ผ่านวีดิทัศน์ แสดงความมั่นใจในดีเอ็นเอของตนเอง
ทั้งหมด คือ การส่งสัญญาณขับเคลื่อนพรรคด้วยดีเอ็นเอของทักษิณ ชินวัตร
ในทางเศรษฐศาสตร์ คือ การเอาแบรนด์ดั้งดิมที่ยังมีทุนอยู่ มาใช้ประโยชน์
นางสาวแพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ตอกย้ำด้วยการประกาศถึงภารกิจต่อไปของพรรคเพื่อไทยว่า จะเป็นพรรคที่เร็วขึ้น ตอบสนองความต้องการของพี่น้องประชาชนได้ดีขึ้น กำลังเปลี่ยนแปลงจากข้างใน เติมคนใหม่เข้ามาทำงาน เติมองค์ความรู้ใหม่ พร้อมให้กำลังใจกับนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ในการทำงาน พร้อมย้ำว่า พรรคเพื่อไทย ไม่ใช่พรรคอนุรักษ์นิยมใหม่ เพราะ DNA คือการเปลี่ยนแปลง สร้างความเปลี่ยนแปลงให้ประเทศไทย เช่นในอดีต มี 30 บาท รักษาทุกโรค กองทุนหมู่บ้าน ฯลฯ และปัจจุบัน มีนโยบายที่สร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง คือ ดิจิทัล วอลเล็ต และ ซอฟต์ พาวเวอร์
“เราคือพรรคที่มาปฏิรูป ทำให้ประเทศไทยเจริญก้าวหน้าด้วยนโยบาย โดยมีความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์”- หัวหน้าพรรคเพื่อไทยกล่าว
การที่หัวหน้าพรรคเพื่อไทยประกาศ ขับเคลื่อนโดย “มีความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์” มีนัยสำคัญอย่างมาก ตอกย้ำว่า จะไปจับมือกับพรรคที่มีดีเอ็นเอล้มล้างการปกครอง หรือเป็นปฏิปักษ์ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ไม่ได้แน่นอน
เลือกตั้งครั้งล่าสุด พรรคเพื่อไทยมี สส. 141 คน แต่การที่นายกฯเศรษฐาประกาศว่า ประธานสภาก็ของเรา ก็เท่ากับเผยเป็นนัยว่า สส. พรรคประชาชาติ ก็คือองคาพยพเดียวกับเพื่อไทย แต่แยกแบรนด์กันในสนามเลือกตั้งเท่านั้นเอง อนาคตของพรรคเพื่อไทย ขึ้นอยู่กับผลงานของรัฐบาลเศรษฐา
การประกาศขับเคลื่อนพรรคด้วยดีเอ็นเอของทักษิณ ชินวัตรมีนัยสำคัญ คือ อุ๊งอิ๊งพร้อมจะสานต่อในตำแหน่งนายกฯ คนต่อไป ในเวลาและโอกาสที่เหมาะสม เป็นทั้งจุดแข็งและจุดอ่อนในตัวเอง เพราะการออกจากคุกมาของอดีตนายกฯ ทักษิณ สร้างบาดแผลให้กับสังคมไม่น้อย
และอย่าลืมว่า ดีเอ็นเอระบอบทักษิณ ด้านมืด คืออะไร?
ลองตอบคำถามว่า นายกฯ และรัฐมนตรีจากพรรคการเมืองใด ถูกพิพากษาความผิดฐานทุจริตประพฤติมิชอบมากที่สุดในประเทศไทย?
ถ้าแก้ไขบทเรียนข้อผิดพลาดในอดีตได้ พรรคเพื่อไทยจึงจะมีโอกาสทวงส่วนที่เคยเสียให้พรรคก้าวไกลกลับคืน และปิดประตูรัฐประหาร
ถ้าผิดไปจากเงื่อนไขนี้ ทุกอย่างก็เกิดขึ้นได้ !
3. พรรคภูมิใจไทย โตต่อเนื่อง neo royalist เบอร์หนึ่ง
ภูมิใจไทย เป็นพรรคที่จำนวน สส. มากขึ้นเรื่อยๆ
จากพรรคที่มี สส. ไม่ถึง 20 เสียงในอดีต โตเงียบๆ ค่อยๆ โต และโตต่อเนื่อง จนเป็นพรรคอันดับ 3 ในปัจจุบัน
มี สส. 71 คน ในพื้นที่ 33 จังหวัด ครบทุกภูมิภาค
จุดอ่อน คือ ยังไม่มีโอกาสเป็นแกนนำรัฐบาล ผู้นำพรรคยังไม่เคยเป็นนายกรัฐมนตรี ยังไม่ได้พิสูจน์ผลงานแบบจะจะ
ที่เด่นชัด คือ เป็นพรรคการเมืองแรกที่หัวหน้าพรรคประกาศกร้าวว่า ไม่จับมือกับพรรคที่จะแก้ไขล้มล้างมาตรา 112
นายอนุทิน ชาญวีรกูล มีจุดยืนชัดเจนในเรื่องปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ ปัจจุบัน กระทรวงในการดูแลของภูมิใจไทย มีแนวทางปลูกฝังสำนึกความรักชาติรักสถาบัน พูดแล้วทำ
อีกจุดแข็ง คือ พรรคภูมิใจมี สส.ครบทุกภาค และมีเป็นมิตรทางการเมืองกับทุกพรรค (ยกเว้นพรรคล้มล้างการปกครอง) ทำให้มีโอกาสเป็นฝ่ายรัฐบาลเสมอ
อนาคตของพรรคภูมิใจไทย อยู่ที่ยุทธศาสตร์ของพรรค และผลงานของรัฐบาลปัจจุบัน
การเปลี่ยนแปลงในรูปแบบการทำงานที่กำลังจะเกิดขึ้น ตามการเปลี่ยนแปลงคณะกรรมการบริหารพรรคล่าสุด คือจุดที่ต้องจับตามองหลังจากนี้
นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ประกาศว่า
“เราเป็นพรรคการเมืองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และมีภารกิจที่จะปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ เพื่อธำรงไว้ซึ่งระบอบการปกครองตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ ซึ่งเป็น DNA ของพรรคภูมิใจไทย เราเป็นพรรคการเมืองที่ยึดมั่นในคำพูด เมื่อพูดแล้วต้องทำ
การที่สมาชิกได้ลงมติเลือกคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ นับได้ว่าเป็น Gen ใหม่ เป็นก้าวใหม่ที่มีความหมายอย่างยิ่งของพรรคภูมิใจไทย ที่จะเติบโตต่อไปในฐานะสถาบันทางการเมืองของประเทศไทย” – หัวหน้าพรรคภูมิใจไทยกล่าว
ยุทธศาสตร์ที่ดันเอาคนรุ่นใหม่ ที่เป็นลูกหลาน “บ้านใหญ่” ขึ้นมาในตำแหน่งสำคัญแบบเกือบยกแผง เป็นการส่งสัญญาณถึงการเปลี่ยนแปลงแนวทางการทำงานของพรรคภูมิใจไทย
ที่ว่า “เจนใหม่ บ้านใหญ่ มีของ” น่าจะเป็นการเพิ่มบทบาททางการเมืองของคนรุ่นใหม่ แต่ไม่ใช่เล่นกับการสร้างกระแสในโซเชียลอย่างเดียว ยังต้องเน้นการทำงานการเมืองในพื้นที่เพื่อให้ชาวบ้านจับต้องได้ ตามแบบบ้านใหญ่ที่อยู่ในวัฒนธรรมการเมืองไทย
ในมุมเศรษฐศาสตร์การเมือง คือ การต่อยอดจากทุนการเมืองในระบบอุปถัมภ์ในท้องถิ่นนั้นๆ
เป็นการต่อยอด โดยไม่ทิ้งพื้นที่เดิม เพิ่มเติมด้วยการเปลี่ยนภาพลักษณ์ใหม่ของพรรค
จะประสบความสำเร็จแค่ไหน ขึ้นอยู่กับการผสมผสานระหว่างของเก่ากับของใหม่ได้ลงตัวแค่ไหน สมดุล และกลมกล่อมแค่ไหน
เพราะถ้าโผไปหาของใหม่อย่างเดียว โดยละเลยฐานเก่า การเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา ก็เคยมีบทเรียนมาแล้วว่า บางพรรคสูญเสียฐานการเมืองเดิม บ้านใหญ่ถูกล้ม ก็มีให้เห็น
4. พรรครวมไทยสร้างชาติ ยังต้องหาจุดขายใหม่หลังลุงตู่ไม่อยู่แล้ว ต้องเร่งสร้างผลงานและความเชื่อมั่นกลับคืนมา
พรรคพลังประชารัฐ ยังต้องหาความชัดเจนว่า ใครจะนำการเมืองต่อไป และจะมีใครย้ายพรรคไปเพื่อไทยบ้าง
พรรคประชาธิปัตย์ ยังคงต้องปรับหาจุดที่สร้างเอกภาพภายในพรรค เพื่อให้การขับเคลื่อนมีพลัง ไปไหนไปกัน ไปทางเดียวกัน ไม่ใช่หัวหน้าชี้ไปทาง ฝีพายบางส่วนจะพายไปอีกทาง
พรรคชาติไทยพัฒนา ยังคงรักษาสถานการณ์เป็นพรรคเฉพาะพื้นที่ไว้ได้อย่างเหนียวแน่น ไม่ตกยุค เพราะผู้นำเพิ่มความทันสมัยได้อย่างกลมกลืน
พรรคการเมืองเหล่านี้ มีคนเก่ง มีประสบการณ์ ความสามารถ แต่ยังต้องใช้เวลาปรับทัพให้ชัดเจนกว่านี้
ทั้งหมดนี้ เป็นเพียงความเห็นขั้นต้น ต่อพัฒนาการของพรรคการเมืองต่างๆ ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อการเปลี่ยนแปลง
สันติสุข มะโรงศรี
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี