หลังนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ชนะการเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. แบบถล่มทลาย มีอาการกระสับกระส่ายของคนหลากกลุ่ม โดยเฉพาะในกลุ่มที่ถูกเรียกว่า “สลิ่ม”
1) อาจารย์วันวิชิต บุญโปร่ง จากคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต แสดงความคิดเห็นผ่านเฟซบุ๊คว่า
“เราเห็นอะไรความล้มเหลวของฝ่ายที่ไม่เลือกชัชชาติ มันมีองค์ประกอบอะไรที่ดลบันดาลให้คน กทม.ตัดสินใจลงคะแนนให้พวกเขาหรือเธอ จนแพ้เป็นล้านขนาดนี้ มาแกะรอยกันครับ
1. ความล้มเหลวของ Influencer (ผู้มีอิทธิพลในการชี้นำสังคม อาจจะเป็นคนดัง เซเลบการเมือง ดารา นักร้อง ที่มีคนติดตามจากสื่อโซเชียลเยอะ)
1.1 อินฟลูเอนเซอร์ หลายคนพยายามยึดติดภาพการเลือกตั้งเชิงยุทธศาสตร์มากจนเกินไป พึ่งพากับประโยคที่ว่า “ไม่เลือกเรา เขามาแน่” ตรงนี้คนก็ กทม. หลายคนไม่ซื้อความคิดนี้อีกแล้ว หลายๆคนรู้อยู่แล้วว่า 2-3 สัปดาห์สุดท้ายจะขยี้ประเด็นนี้ แต่ไม่สามารถตอบโจทย์ว่า คนที่ตัวเองเชียร์เหนือกว่าคุณชัชชาติอย่างไร
1.2 อินฟลูเอนเซอร์ หลายๆ คนติดอาการหลงตัวเอง(narcissus ) คิดว่าการโยนชื่อ “ทักษิณ” จะปลุกผีชื่อนี้ให้คน กทม. กลัวและเกลียดต่อไปได้ แต่คนกทม. จะ move on ประเด็นตรงนี้ไปแล้ว แถมรู้สึกขบขันอีกต่างหากที่ยังมีคนใช้มุขนี้มาเล่นอีก ที่สำคัญ อินฟลูเอนเซอร์ หลายคนภาพลักษณ์และความนิยมตัวเองตกต่ำลง จากบทบาทการเคลื่อนไหวทางการเมืองที่ตัวเองเข้าร่วม มันเท่ากับผลักคนอีกข้างที่เคยชื่นชมผลงานของตน ไปเป็นอริ-รสนิยมทางการเมืองไปเสียฉิบ ยิ่งไปกว่านั้นความหลงตัวเองของ “ลุง”บางคนจะชี้สังคมได้ แต่ลืมสำรวจเงาศีรษะตัวเอง ว่าต้นทุนความน่าเชื่อถือแทบไม่มี แถมภาพลักษณ์ตัวเองก็มัวหมอง ไม่ค่อยมีความน่าเชื่อถือในสายตาของคนทั่วไป (ยกเว้นสาวกฝ่ายตัวเอง)
2. ความแข็งแกร่งของผู้สมัครฝ่ายตัวเองไม่โดดเด่นพอ ผมขอระบุสัก 2 ท่านครับ
2.1 คุณอัศวิน การที่อยู่มานาน 5 ปี 5 เดือน 5 วันอายุ 71 ปี อาจขาดความกระฉับกระเฉงในการทำงานหากจะไปต่อ ต้องไม่ลืมว่า คุณอัศวินมาจากการแต่งตั้ง ซึ่งคน กทม. ไม่น้อยรู้สึกพวกเขาไม่ได้มีส่วนร่วมเลือกตั้งเข้ามาและตลอดเวลาที่เป็นผู้ว่า แสดงความเห็นที่คนกรุงเทพฯรู้สึกว่า “ไม่โอ” อาทิ การตอบสื่อมวลชนว่า ช่วงน้ำท่วมหนัก หากุญแจเปิดประตูระบายน้ำไม่เจอ” นี่คือการสื่อสารที่ล้มเหลว
เหมือนฟ้ามีตา วันที่ 16-17 พ.ค. ที่ผ่านมา กรุงเทพฯฝนตกหนัก การจราจรเป็นอัมพาตหลายชั่วโมง ทำให้คน กทม. หลายคนที่ยังไม่แสดงออกว่าจะเลือกใครเป็น ผู้ว่าฯกทม. ได้ตัดสินใจเด็ดขาดว่าจะเลือกใคร
2.2 คุณสกลธี ความชัดเจนที่ประกาศตัวเป็น กปปส. มันก็ดีที่แสดงออกจุดยืนทางการเมือง แต่ขาดภาพการยอมรับของคน หรือกลุ่มขั้วทางการเมืองที่มีหลายเฉดๆมากขึ้น ความที่คุณสกลธี เป็นลูกชายเลขาธิการคณะรัฐประหาร ปี’49 ยิ่งไปกว่านั้น คุณสกลธี มีศักดิ์เป็นเหลน พลเรือเอกสงัด ชลออยู่ หัวหน้าคณะปฏิรูป ช่วงปี’19 (คณะรัฐประหาร นั่นแหละครับ) ผมจึงเข้าใจว่าคุณสกลธี เติบโตดื่มด่ำบรรยากาศสภาพแวดล้อมแบบนั้น จึงเข้าใจได้มีการไปดีเบต กับคุณวิโรจน์ ทำให้คุณสกลธี จะพูดจะคิดอะไร จึงถูกวิจารณ์อย่างมากมาย
3. การตีโจทย์การต่อสู้ที่ผิดพลาด
3.1 ทุกคนเอาคุณชัชชาติ มาเป็นโจทย์ให้ก้าวข้าม ถล่มชัชชาติได้น่าจะชนะ แต่ลืมไปว่าฝ่ายเดียวกันแข่งกันจริงจังแบบไม่ยอมกัน การโอนเทคะแนนมันจึงทำให้กันไม่ได้
3.2 คนกรุงเทพฯหลายคนเชื่อว่าหลายคนที่ไม่ชนะ แต่ถ้าได้คะแนนที่แท้จริง ถือเป็นการ “แพ้ที่มีอนาคต” ถ้าคะแนนสูงเพียงพอ ย่อมถือเอาคะแนนที่ตนเองได้รับไปเป็นสะพานบุญ ต่อยอดฐานทางการเมืองต่อไป การเทคะแนนเชิงยุทธศาสตร์เสมือนเป็นการดูถูกสติปัญญาคน กทม. มาก กระแสตรงนี้นอกจากไม่ตอบรับแล้วยังช่วยให้คุณชัชชาติโดดเด่นขึ้นไปอีก
3.3 กระแสโหนลุงตู่ มันดันไปต่อไม่ได้ ในสภาวะวิกฤตเศรษฐกิจ ค่าครองชีพที่สูงลิบ สะท้อนถึงความล้มเหลวในการบริหาร ยิ่งมีคนรู้สึกต่อต้านมากขึ้น นี่คือสัญญาณเตือนอาการเบื่อ “สาม ป.” จากชาว กทม.
ป.ล. ยอมรับการเป็นผู้แพ้ที่ดีเถอะนะครับ
2) ขณะที่ พล.ต.นพ.เหรียญทอง แน่นหนาผู้อำนวยการโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ ได้ออกโพสต์แสดงความคิดเห็นส่วนตัวถึงการชนะการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ว่า “...อย่าเพิ่งมีอคติ หรือมีมโนภาพจินตนาการไปในทางเลวร้ายว่า ผู้ว่าฯ กทม.คนใหม่ และคณะจะมาบ่อนทำลายความมั่นคงของชาติ ถึงแม้เราอาจจะไม่ไว้วางใจหรือมีความรู้สึกหวาดระแวงพวกเขาก็ตาม
เราต้องยอมรับว่าเสียงส่วนใหญ่เลือกเขามา ขณะเดียวกันการที่เขามาจากเสียงส่วนใหญ่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะทำอะไรได้ตามอำเภอใจ สิ่งที่เขาจะทำยังคงต้องเป็นไปตามครรลองคลองธรรมตามกฎหมาย เพื่อชาติบ้านเมือง
การที่ผู้ว่าฯ กทม.และคณะจะประสบความสำเร็จหรือบริหารราชการเมืองไปได้ด้วยดีนั้น ผู้ว่าฯ กทม. และคณะจะต้องคำนึงถึงความมั่นคงของสถาบันชาติ ศาสน์ กษัตริย์ด้วย หาก ผู้ว่าฯ กทม. และคณะ หาได้ใส่ใจ ไม่ไยดียี่หระต่องานรักษาความมั่นคงและความสงบสุขเรียบร้อยของเมืองคือ กทม. แล้ว ผู้ว่าฯ กทม.และคณะก็จะประสบปัญหาร้ายแรงจนไม่อาจดำรงอยู่ได้
ผมขอความกรุณาท่านทั้งหลาย อย่าเพิ่งตั้งป้อมต่อต้าน เราไม่ไว้วางใจ หวาดระแวงเขาได้ แต่เราต้องให้ความเป็นธรรมแก่เขาด้วย ความมุ่งมั่นของเขานั้นอาจเป็นไปด้วยความบริสุทธิ์ หาได้เป็นไปตามที่ท่านทั้งหลายกังวลก็เป็นได้ ทั้งคุณสมบัติส่วนตัว ความรู้ความสามารถก็เพียบพร้อม กทม.อาจจะดีกว่าในอดีตที่ผ่านมาอย่างยิ่งยวดเสียด้วยซ้ำ หากเราเป็นคนดี เราต้องมีเหตุผล มีจิตใจที่เป็นธรรมแม้เราจะระแวง แต่เราต้องให้โอกาสนะครับ
ผมไม่ใช่คนโลกสวยนะครับ แต่อยากจะบอกว่าบ้านเมืองไม่ได้เป็นของพวกเราแต่เพียงฝ่ายเดียว แต่บ้านเมืองเป็นของส่วนรวม หากเขามาด้วยเจตนาร้าย มันจะแสดงออกให้เห็นเป็นที่ประจักษ์เอง หากเขาไม่ได้ใส่ใจยี่หระต่อความมั่นคงของชาติ ศาสน์ กษัตริย์ พวกเขาก็จะอยู่ไม่ได้ทั้งอาจไม่มีแผ่นดินอยู่เสียด้วยซ้ำ แต่หากเขามีความจริงใจจงรักภักดีเหมือนเรา เราอาจจะยินดียิ่งเสียด้วยซ้ำที่จะมีผู้ว่าฯ กทม. และคณะมาร่วมด้วยช่วยกันกับเราในการปกบ้านป้องเมืองพิทักษ์ราชันเสียด้วยซ้ำ
ลองพิจารณาข้อคิดข้อเสนอของผมดูนะครับ…ขอเน้นย้ำอีกครั้งว่า ผมไม่ใช่คนโลกสวยนะครับ เพียงแต่เป็นคนมีเหตุมีผล ไม่ดัดจริตเท่านั้น
3) ด้านนายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีตกรรมการ กกต. วิเคราะห์ว่า
“คะแนน 1,386,215 คะแนนของชัชชาติมาจากไหนในเมื่อ คะแนน สก. เพื่อไทยทั้งหมดมีเพียง 620,009 คะแนนแปลว่า มีคะแนนไหลมาจากที่อื่นถึง 766,206 คะแนน คำตอบคือ ได้จากคนที่เลือก สก.พรรคอื่น แต่มาเลือกผู้ว่า เป็นชัชชาติ
คะแนน สก. ก้าวไกล มี 482,832 คะแนน แต่คะแนนวิโรจน์มี 253,851 คะแนน แปลว่า มีคนรักก้าวไกลรักวิโรจน์ แต่ลงให้ชัชชาติ 228,981 คน
คะแนน สก. ปชป. มี 348,853 คะแนน แต่คะแนนสุชัชวีร์ มี 254,647 คะแนน แปลว่า FC ปชป. ยังไปเทใจให้ชัชชาติถึง 94,206 คะแนน
คะแนน สก. ไทยสร้างไทย มี 241,945 คะแนน แต่คะแนนศิธา มีแค่ 73,720 คะแนน แปลว่า รักสุดารัตน์ แต่ลงให้ชัชชาติ 168,225 คะแนน
และสนุกสุด เมื่อเอาคะแนนของ พปชร.+กลุ่มรักษ์กรุงเทพซึ่งชูอัศวินทั้งสองกลุ่ม ได้คะแนน สก.รวมกัน 464,450 คะแนน แต่คะแนนบิ๊กวิน มาแค่ 214,692 คะแนน เป็นพวกปันใจแอบไปให้ชัชชาติ ถึง 249,758 คะแนน
คะแนนปันใจเหล่านี้ รวมกันได้ 741,170 คะแนน พร่องไปจากตัวเลขที่ว่าเป็นคะแนนไหลมาจากที่อื่นแค่ 25,036 คะแนน ซึ่งหากบวกคะแนนจากส่วนอื่นย่อยๆ ก็จะได้เป็นจำนวนใกล้เคียงคะแนน 1.38 ล้านที่ชัชชาติได้รับครับ
ทั้งหมดเป็นการทดลองทางตัวเลขเล่นๆ สนุกๆ แต่ถ้าทำให้ลุงบางคนเครียด ขออภัยด้วย
3) นายสุนทร รักษ์รงค์ สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์เฟซบุ๊คเรื่อง #ถอดบทเรียนกรณีชัชชาติ ความว่า “ผมยังโง่เขลาและไร้เดียงสาเกินไป ที่จะกล้าถอดบทเรียนผลการเลือกตั้งกรุงเทพมหานคร กรณี ชัชชาติ+วิโรจน์ = 61.34% สก.เพื่อไทย+ก้าวไกล=68%
แต่ผมรับรู้ได้ถึงกระแสแห่งการเปลี่ยนแปลง(change) ที่ปฏิเสธการเมืองแบบเก่า เช่น การใช้วาทกรรมลักษณะลิงหลอกเจ้า #ไม่เลือกเราเขามาแน่ ซึ่งเป็นยุทธวิธีสกปรกที่ใช้ความขัดแย้งมาเป็นเครื่องมือ อาจเคยมักง่ายใช้สำเร็จในอดีต แต่ครั้งนี้ผิดคาด มวลชนตื่นรู้และเท่าทัน ทำให้ไม่สามารถใช้ความหวาดกลัวของมวลชนอีกฝ่ายมาเปลี่ยนเป็นคะแนนเสียง
การเมืองถึงจุดเปลี่ยนแปลง #เป็นการเมืองก้าวข้ามความขัดแย้ง เป็นการเมืองแบบมีส่วนร่วม(participate) ไม่ใช่การเมืองล้าหลังลักษณะ #มรดกทางการเมือง
กรุงเทพมหานครแม้มิใช่อารมณ์ความรู้สึกของคนในประเทศไทยทั้งหมด แต่สะท้อนให้เห็นว่า นักการเมืองในยุค disruption ต้องเป็นนักปฏิบัติ ไม่ใช่นักสร้างภาพชัชชาติมีบุคลิกติดดิน จริงใจ มีความรู้ คมในฝัก และเป็นนักยุทธศาสตร์ การเมืองที่ตอบโจทย์ คือการเมืองเรื่องปากท้อง และตอบคำถามได้ถึงอนาคตของประเทศไทย คำถามคือเราได้บทเรียนอะไรจากกรณีแลนด์สไลด์ชัชชาติ ช่วยกันตอบหน่อยครับ
สรุป : ชัยชนะของชัชชาติ ถูกฝ่ายหนึ่งโหนเสียจนน่าเกลียด และถูกอีกฝ่ายหนึ่งเหวี่ยงเสียจนมองไม่เห็น “วุฒิภาวะ” การวิเคราะห์และคำเตือนของทุกๆ ท่านที่รวบรวมมา ควรเป็นสติ ซึ่งจะเป็นบ่อเกิดของ “ปัญญา” เพื่อพา “สลิ่ม” ไปหาทาง “ชนะให้ได้ และแพ้ให้เป็น”
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี