เหตุการณ์พฤษภาทมิฬเมื่อปี พ.ศ. 2535 นับจนบัดนี้ ปี พ.ศ. 2565 ก็ครบ 30 ปีแล้ว น่าจะอยู่ในวิสัยที่จะมีการรำลึกถึง ทบทวนเหตุการณ์ที่อาจจะเป็นบทเรียน เป็นข้อคิด ยั้งสติ และร่วมกันก้าวไปข้างหน้าเพื่อความเป็นสังคมเสรีประชาธิปไตยของราชอาณาจักรไทยกันได้
เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ 2535 เกิดขึ้นในช่วงที่โลกมีการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง เช่น การล่มสลายของกำแพงเบอร์ลิน ที่นำไปสู่การกลับมารวมเป็นประเทศหนึ่งเดียวกันของเยอรมันตะวันตกและเยอรมันตะวันออก ภายใต้ร่มเงาของความเป็นประชาธิปไตย และการคงความเป็นสมาชิกขององค์การร่วมมือด้านความมั่นคงภูมิภาคด้านมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ (NATO) ซึ่งการรวมตัวของเยอรมนีเป็นไปอย่างสันติ ปราศจากการใช้ความรุนแรงใดๆ ซึ่งเครดิตก็ต้องให้กับ นายมิคาอิล กอร์บาชอฟ ผู้นำสหภาพโซเวียต ที่ถอนกำลังออกจากเยอรมันตะวันออก และในขณะเดียวกันก็ไม่ขัดขวางที่ประเทศยุโรปกลางและตะวันออก จะตีจากไปจากอิทธิพลและการครอบงำของสหภาพโซเวียต รวมทั้งการยุบตัวของสนธิสัญญากรุงวอร์ซอ ที่เป็นป้อมปราการของฝ่ายคอมมิวนิสต์โซเวียต และสมุนบริวาร ในการเผชิญหน้ากับองค์การนาโต ซึ่งทั้งหมดนี้หมายถึงการยุติลงของโลกแห่งยุคสงครามเย็น (The Cold War) และอีกปีเศษๆ ต่อมา สหภาพโซเวียตก็ล่มสลาย เมื่อสาธารณรัฐสมาชิกต่างๆ แยกตัวออกจากสหภาพโซเวียต นำโดยกลุ่มประเทศบอลติก และต่อมาอันสำคัญโดยรัสเซีย ยูเครน และเบลารุส
ในขณะนั้น โลกต่างหายใจทั่วท้อง และเริ่มมีความหวังกับสันติภาพ เสถียรภาพความมั่นคง และความเจริญก้าวหน้า และให้ความหวังว่า โลกจะอยู่ร่วมกันได้ภายใต้การเป็นสังคมประชาธิปไตย และระบบเศรษฐกิจการค้าแบบเสรี หรือทุนนิยม และโลกจะเชื่อมโยงเป็นหนึ่งเดียวกัน เพราะปราศจากการแบ่งออกเป็น 2 ขั้ว และยังถูกเสริมด้วยวิวัฒนาการของเทคโนโลยีการสื่อสาร ซึ่งก่อให้เกิดการเชื่อมโยงกันทั้งโลก แบบไร้พรมแดน ส่งผลให้โลกได้ย่างเข้าสู่ยุคโลกาภิวัตน์จากยุคสงครามเย็น
นี่คือสภาพแวดล้อม หรือบริบทระหว่างประเทศ ในขณะที่เหตุการณ์พฤษภาทมิฬได้อุบัติขึ้นในประเทศไทย ซึ่งส่วนหนึ่งก็แน่นอนว่าได้รับอิทธิพลจากการเปลี่ยนแปลงในบริบทโลกดังกล่าว โดยเฉพาะเรื่องสิทธิเสรีภาพการเป็นสังคมประชาธิปไตยและการมีส่วนร่วมในการเป็นไปของบ้านเมือง และปฏิเสธลัทธิครอบงำหรือเผด็จการใดๆ
สังคมไทยในขณะนั้นจึงกระหายประชาธิปไตย และดิ้นรนต่อสู้จนชนะ และกำลังจะได้รับตามความประสงค์นั้น แต่ทว่าก็เกิดปัญหาขึ้น เนื่องจากมีการผิดคำมั่นสัญญาที่มาจากผู้นำประเทศอันได้แก่ พลเอกสุจินดา คราประยูร ที่ได้ทำการปฏิวัติรัฐประหารต่อรัฐบาล พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ แล้วตั้งรัฐบาลพลเรือนชั่วคราวที่นำโดย นายอานันท์ ปันยารชุน อดีตเอกอัครราชทูต และปลัดกระทรวงการต่างประเทศ เป็นฉากหน้า ก่อนจะมีการจัดการเลือกตั้งเป็นการทั่วไป ซึ่งก่อนหน้านี้ พลเอกสุจินดา คราประยูร ได้ให้สัญญาประชาคมไว้ว่า ตนเองจะไม่รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แต่หลังจากการเลือกตั้งที่ตกลงกันไม่ได้ระหว่างพรรคการเมือง จึงมีการไปเชิญพลเอกสุจินดา มารับตำแหน่งนายกฯ และก็ได้มีการตอบรับ จึงถือเป็นการกลับคำมั่นสัญญา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฐานะผู้นำคณะปฏิวัติที่ว่าจะไม่สานต่ออำนาจ
เหตุการณ์นี้ได้นำประชาชนชาวไทยไปสู่การออกมารวมตัวประท้วงบนท้องถนน และมีการใช้กำลังเข้าปราบปรามจากทางภาครัฐก่อให้เกิดการสูญเสียทั้งชีวิต และร่างกาย ของผู้ประท้วง เรียกว่าเหตุการณ์พฤษภาทมิฬดังที่ทราบกันอยู่
บทเรียนก็คือ ฝ่ายกองทัพจะต้องไม่ดำเนินการสวนกระแสกับโลกประชาธิปไตย โดยเฉพาะผู้นำกองทัพจะผิดคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชนไม่ได้
นอกจากนั้นแล้ว การที่คู่กรณีคือ พลเอกสุจินดา คราประยูรผู้นำฝ่ายกองทัพ และพลตรีจำลอง ศรีเมือง ผู้นำฝ่ายประชาชน ได้ถูกเรียกตัวให้เข้าเฝ้าฯพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ก็เป็นการบ่งบอกว่า การประหัตประหารคนไทยด้วยกัน ไม่เป็นสิ่งบังควร และเรื่องราวของบ้านเมืองใดๆ ที่ฝ่ายการเมืองไม่สามารถตกลงกันได้ ในที่สุดก็ควรจะต้องเข้าเฝ้าฯองค์พระประมุขให้ทรงเป็นผู้วินิจฉัยขั้นสุดท้าย
นัยก็คือการปฏิวัติรัฐประหารใดๆ ไม่ว่าครั้งใด เป็นการดำเนินการโดยฝ่ายกองทัพแต่เพียงฝ่ายเดียว ถือเป็นการทำการเกินอำนาจหน้าที่และโดยมิชอบ การถวายรายงานเพื่อทรงพระวินิจฉัย จึงเป็นภาระหน้าที่ของผู้นำฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติ และฝ่ายตุลาการ เป็นสำคัญ
นอกจากนั้น การล้มหายตายจาก และบาดเจ็บทุพพลภาพก็เป็นเรื่องที่สังคมต้องร่วมกันชดเชยค่าเสียหายบรรเทาความสูญเสียและเสียใจ อีกทั้งก็ต้องมีการค้นหาข้อเท็จจริงและหาผู้รับผิดชอบ แม้กระทั่งการค้นหาผู้สูญหายไป แต่เรื่องทั้งหมดนี้ก็ยังค้างคามา 30 ปีแล้ว สะท้อนว่ารัฐบาลที่ผ่านๆ มานั้นไม่ได้ตั้งใจ หรือไม่มีความสามารถ กรณีนี้อาจจะสะท้อนได้ว่า อำนาจและอิทธิพลของฝ่ายข้าราชการด้านความมั่นคงนั้นแข็งแกร่ง และอยู่เหนือฝ่ายการเมืองใดๆ ซึ่งก็ไม่เป็นสิ่งที่ดีต่อสังคม
การค้นหาความจริง หาผู้ที่กระทำผิด หรือผู้กระทำเกินเหตุเป็นภาระหน้าที่ของสังคม เพื่อความปรองดองสมานฉันท์ แล้วก็นำไปสู่การรับผิด รับผิดชอบ และการอภัยต่อกันและกัน ซึ่งมิใช่การล้างแค้นหรือการจะเอากันให้ถึงที่สุด เพราะความเห็นต่างของมวลมนุษย์นั้นเป็นเรื่องธรรมดา และความผิดพลาดก็เกิดขึ้นได้ การชดเชยที่สมเหตุสมผลและการได้รับรู้ซึ่งข้อเท็จจริงก็คงจะเพียงพอต่อการลดความทุกข์ยาก สลดใจ และการอภัยให้ซึ่งกันและกัน โดยคำนึงว่า ทั้งหมดก็เป็นส่วนหนึ่งของการร่วมกันขับเคลื่อนและต่อสู้ เพื่อความเป็นสังคมที่มีความเป็นประชาธิปไตย มีสิทธิเสรีภาพ มีความยุติธรรม
หากสังคมไทยสามารถฟันฝ่า และก้าวข้ามการขัดแย้งว่าด้วยเรื่องอุดมการณ์คอมมิวนิสต์กันมาได้ แล้วไฉนสังคมไทยเราจะไม่สามารถก้าวข้ามเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ 2535 ไปได้? โดยเฉพาะถ้าเราต่างมีความมุ่งมั่น และพร้อมที่จะค้นหาความจริงและให้อภัยซึ่งกันและกัน ไม่จองเวรจองกรรมต่อกัน และทั้งนี้เราก็ต้องการความกล้าหาญ จริงใจ ต่อผู้นำของเราที่จะขับเคลื่อนในเรื่องนี้ ซึ่งพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็อยู่ในฐานะที่จะริเริ่มนำพาได้ เพราะอยู่ในกองทัพ ได้เห็นการเปลี่ยนแปลงและความเป็นไปในสังคมไทย อีกทั้งได้อาสาเข้ามารับใช้แก้ไขปัญหาบ้านเมือง แต่ 8 ปีที่ผ่านมาการปรองดองสมานฉันท์จากในช่วง 15 ปีที่ผ่านมาก็ยังค้างคาอยู่เหมือนกรณีพฤษภาทมิฬ และเรื่องราวเมื่อ 30 ปีที่แล้ว แม้จะอยู่ในความทรงจำก็ยังไม่มีการคลี่คลาย ที่จะสามารถทำให้ก้าวข้าม และร่วมมือกันเพื่อความสมัครสมานสามัคคีกันได้ต่อไป
ในแง่หนึ่งก็เสมือนกับว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ยังมีงานค้างคาและยังไม่ทำงานทำการให้กับบ้านเมืองอย่างเต็มไม้เต็มมือเพื่อประโยชน์ส่วนรวม และเพื่อมิให้มีการรักษา คุ้มครอง ผลประโยชน์และสถานะของกลุ่มหนึ่งกลุ่มใดในสังคม
หลายๆ ประเทศในโลกกว้างก็มีการประหัตประหารชนชาติเดียวกัน หรือพลเมืองชาติเดียวกัน แต่เขาต่างก็ก้าวข้ามไปสู่ความปรองดองสมานฉันท์ และการร่วมมือกันสร้างชาติ สร้างบ้านเมืองกันได้ แม้ว่าความรุนแรงต่างๆ นานานั้น จะมีมากมายกว่าของประเทศไทยเหลือเกิน ที่เขาต่างกระทำได้ก็เพราะทุกหมู่เหล่าต่างพร้อมที่จะรับความจริง รับผิด และให้อภัยต่อกัน
ก็หวังว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี อดีตผู้บัญชาการกองทัพบก และผู้นำการปฏิวัติรัฐประหาร จะได้ให้ความสนใจกับเรื่องการใช้ความรุนแรงในสังคม ไปจนถึงการใช้กระบวนการยุติธรรมและกฎหมายเป็นเครื่องมือในการขจัดผู้ที่เห็นต่าง คิดต่างและใช้การปรึกษาหารือ การเจรจาหารือ เป็นวิถีทางสู่การอยู่ร่วมกันอย่างสันติ คู่ขนานไปกับการค้นหารวบรวมข้อเท็จจริง เพื่อการรับทราบยอมรับ อภัย เลิกรา และตั้งต้นกันใหม่เพื่อชาติไทยและชาวไทยโดยรวม
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี