การที่ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและคณะ ไปเยือนตามคำเชิญของประเทศซาอุดีอาระเบีย เมื่อไม่นานมานี้ นอกจากเป็นข่าวใหญ่ครึกโครมยิ่ง แล้วยังเป็นที่ปีติยินดีแก่สาธารณชนโดยทั่วไป ส่งผลให้เกิดความตื่นเต้นคึกคัก กับแวดวงธุรกิจการค้า การลงทุนการท่องเที่ยว และแรงงาน ซึ่งต่อมาอีกไม่นาน สังคมไทยก็ได้เห็นการดำเนินการที่ต่อเนื่อง (Follow up) จากการเยือนของนายกรัฐมนตรีดังกล่าว โดยรัฐมนตรีต่างประเทศพร้อมกับนักธุรกิจไทย และโดยรัฐมนตรีว่าการท่องเที่ยว กับนักธุรกิจทางด้านนี้
ก็จัดได้ว่าเป็นการเปิดศักราชใหม่ของความสัมพันธ์ของ 2 ประเทศ หลังจากที่มีการลดระดับความสัมพันธ์ทางการทูต และการว่างเว้นการทำมาค้าขายกันร่วม 30 ปี อันสืบเนื่องมาจากคดีขโมยเพชรโดยแรงงานข้ามชาติชาวไทย ในเขตรั้ววังของราชวงศ์ซาอุดีอาระเบีย รวมทั้งคดีสังหารและอุ้มฆ่านักธุรกิจและนักการทูตของซาอุดีอาระเบีย ที่ทางการไทยไม่สามารถให้ความกระจ่างแก่ซาอุดีอาระเบียได้อย่างชัดเจน เนื่องจากกระบวนการยุติธรรมไปไม่ถึงฝั่ง ไม่เป็นที่พึงพอใจของฝ่ายซาอุดีอาระเบีย
แต่มาบัดนี้ เมื่อได้มีการฟื้นฟูความสัมพันธ์กันดังกล่าวแล้ว ซึ่งก็มีการตั้งข้อสังเกตว่า ในเมื่อไม่มีผู้ใดในแวดวงต่างๆ ของไทยออกมาแสดงตัวเอาหน้าเอาตาว่า ตนเองได้มีส่วนหรือบทบาทสำคัญในการฟื้นฟูความสัมพันธ์ครั้งนี้ จึงสามารถกล่าวสรุปเป็นข้อยุติได้ว่า การฟื้นฟูความสัมพันธ์นั้นมิได้มีการริเริ่ม หรือฝีมือของฝ่ายไทยแต่อย่างใด หากแต่เป็นการตัดสินใจของฝ่ายซาอุดีอาระเบียเป็นสำคัญ
ก็ต้องขอทบทวนว่า เมื่อไม่นานมานี้ได้มีการเปลี่ยนแปลงชุดผู้นำซาอุดีอาระเบียใหม่ทั้งหมด และผู้นำชุดใหม่นี้ คงไม่ได้เอาเรื่องคดีค้างคาเพชรซาอุและคดีฆาตกรรม ดังกล่าว มาเป็นเงื่อนไขของการมีความสัมพันธ์หรือไม่มีความสัมพันธ์เป็นสำคัญดังเช่นผู้นำชุดก่อน ที่ได้ตัดสินใจลงโทษประเทศไทย ด้วยการลดระดับความสัมพันธ์ถึงขั้นตัดขาด เพราะโกรธแค้น และไม่พึงพอใจต่อการดำเนินการของฝ่ายไทยทุกรัฐบาลที่ผ่านมาในช่วง 30 ปีนี้
ผู้นำซาอุดีอาระเบียชุดใหม่เอาเรื่องผลประโยชน์ในมุมกว้างเป็นที่ตั้ง และปรากฏว่าผลประโยชน์ต่างๆ ของไทยและซาอุดีอาระเบีย สามารถตอบสนองและเกื้อกูลกันได้ อีกทั้งซาอุดีอาระเบียก็ไม่ประสงค์ที่จะพึ่งรายได้จากกิจการพลังงานธรรมชาติอีกต่อไป และต้องการกระจายบทบาททางธุรกิจ และเพิ่มจำนวนประเทศคู่ค้าไปในตัวด้วย ประเทศไทยก็มีข้อดึงดูดสำหรับซาอุดีอาระเบีย เช่น ในเรื่องเป็นแหล่งที่มาของสินค้า อาหาร สินค้าอุปโภค-บริโภค ที่ซาอุดีอาระเบียซึ่งเป็นประเทศที่ตั้งอยู่บนทะเลทราย จำเป็นที่จะต้องนำเข้า อีกทั้งซาอุดีอาระเบียก็ต้องการแรงงานต่างด้าว และแรงงานวิชาชีพ เพราะมีแรงงานทั้ง 2 ประเภทไม่เพียงพอ แต่ก็มีเงินมากมายที่จะว่าจ้าง
ทั้งนี้ฝ่ายไทยจะต้องตระหนักให้ดีว่า การจะส่งแรงงานไทยไปทำงานที่ซาอุดีอาระเบียนั้น เหตุการณ์ ณ วันนี้ได้แตกต่างไปจากเหตุการณ์เมื่อ 30 ปีที่แล้วในแง่ที่ว่า ซาอุฯ ไม่มีตลาดแรงงานแบบไร้ฝีมือ หรือฝีมือต่ำ ให้กับแรงงานไทยอีกต่อไป เนื่องจากตำแหน่งดังกล่าวได้ถูกเติมด้วยแรงงานจากบังกลาเทศ ปากีสถาน อินเดีย ศรีลังกา แม้กระทั่งอินโดนีเซีย เมียนมา และเวียดนามไปหมดแล้ว
ส่วนแรงงานที่มีฝีมือหรือกลุ่มวิชาชีพ เราก็ต้องไปแข่งขันกับแรงงานฟิลิปปินส์ และประเทศในชมพูทวีปเป็นหลัก ซึ่งผู้ว่าจ้างก็คงจะไม่ใช่หน่วยงานของซาอุดีอาระเบีย แต่จะเป็นบรรดาบริษัทต่างชาติทั้งหลาย ฉะนั้นโอกาสของแรงงานไทยโดยรวมก็คงจะมีข้อจำกัดกว่าในอดีต เพราะคู่แข่งขันมากมายดังกล่าว
แต่อย่างไรก็ดี ในเรื่องการท่องเที่ยว และการเป็นอู่ข้าวอู่น้ำ และการมาฟื้นฟูและรักษาร่างกายแล้ว ไทยก็คงไม่เป็นรองใคร อีกทั้งฝ่ายซาอุดีอาระเบียก็มีกองทุนมากมายทั้งของฝ่ายรัฐและของฝ่ายเอกชนที่จะมาลงทุน ทั้งในอุตสาหกรรมการผลิต และอุตสาหกรรมการบริการได้ ก็ขึ้นอยู่กับการจัด การรองรับโดยฝ่ายไทยเป็นสำคัญ ซึ่งโดยองค์รวมแล้ว การฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่าง
2 ประเทศ จะมีผลกระทบในเชิงบวกอย่างมากมาย และช่วยทดแทนการลดลงไปของต่างชาติอื่นๆ ในเศรษฐกิจการค้าของไทย อันสืบเนื่องมาจากสภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอย ทั้งจากผลของโรคระบาดโควิด-19 และเหตุการณ์การคว่ำบาตรรัสเซียก็ดี
แต่ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ฝ่ายไทย ทั้งฝ่ายรัฐบาลด้านความมั่นคง และแวดวงศาสนา จะต้องพึงระวังก็คือ การส่งออกของฝ่ายซาอุดีอาระเบียในเรื่องศาสนาอิสลามตามแบบฉบับของลัทธิวาฮะบีย์ (Wahabism) ด้วยเงินทุนอันมหาศาลเพื่อการเผยแพร่ระบบความเชื่อถือ ที่อาจจะสร้างความแตกแยกระหว่างนิกายศาสนาอิสลามต่างๆ ในประเทศไทย และอาจจะมีผลต่อการเข้ามาแทรกแซงในกิจการภายในของไทยในเรื่อง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และทั้งนี้ในภาพกว้างซาอุดีอาระเบียก็อยากจะมีภาพลักษณ์ ภาพพจน์ของการเป็นผู้นำศาสนาอิสลามแบบกลางๆ ไม่สุดโต่ง (Moderate) เสมือนเป็นการแข่งขันกับอินโดนีเซีย ในการเป็นผู้นำแวดวง Moderate อิสลาม
และนอกจากนั้น ฝ่ายทางการของไทยก็ต้องพึงระมัดระวังด้วยว่า เงินช่วยเหลือของฝ่ายซาอุดีอาระเบียนั้น แม้จะไม่มีการนำไปสู่การอุดหนุนจุนเจือ หรือสนับสนุนแวดวงการเมืองของไทย ทั้งในระดับชาติและท้องถิ่น และฝ่ายทางการไทยต้องมีความกล้าหาญเข้มแข็งเพียงพอที่จะรักษาผลประโยชน์ด้านความมั่นคงของไทย และอำนาจอธิปไตยของไทยโดยการพูดจากับฝ่ายซาอุดีอาระเบียให้ชัดเจนเกี่ยวกับการไม่แทรกแซงกิจการภายในของไทย และไม่ปลุกปั่นลัทธิความเชื่อถือหนึ่งใดที่จะก่อให้เกิดความแตกแยก การเผชิญหน้า และขัดแย้งต่อกัน
ทั้งนี้ ฝ่ายไทยอยู่ในฐานะที่จะพูดได้อย่างเต็มที่ถึงสิทธิเสรีภาพของการนับถือศาสนา และการรักษาอัตลักษณ์ท้องถิ่นที่ประเทศไทยไม่เป็นรองใคร และในแง่กลับกันสามารถที่จะเป็นแบบอย่างให้กับซาอุดีอาระเบียได้ โดยเฉพาะการเปิดโอกาสให้ศาสนาอื่นๆ ได้มีที่ยืนในซาอุดีอาระเบีย
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี