มาร์กอส จูเนียร์ หรือบองบอง กับ ซาร่า ดูเตอร์เตผู้ถูกตราหน้าว่าเป็น “ทายาทของจอมเผด็จการ” ชนะการเลือกตั้ง ประธานาธิบดี และรองประธานาธิบดีสาธารณรัฐ ฟิลิปปินส์ แบบแลนด์สไลด์ ทำให้ ทายาทอสูรในเมืองไทย มีกำลังใจฮึกเหิมขึ้น ลุยเดินหน้าหาเสียงอย่างมั่นใจว่า ชนะแลนด์สไลด์ เหมือนในฟิลิปปินส์
บองบอง ชนะเลือกตั้ง ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ เมื่อวันที่ 9 พ.ค.ที่ผ่านมา แลนด์สไลด์ คือได้คะแนนกว่า 24 ล้านเสียง ทิ้งห่างคู่แข่งคนสำคัญ นางแนนนี่ โรเบรโด กว่า 43% สื่อมวลชนส่วนใหญ่ เสนอข่าวว่า บองบอง ชนะเลือกตั้งเพราะใช้โซเชียลมีเดีย เป็นอาวุธสำคัญในการโฆษณาชวนเชื่อ
“พลังแห่งโฆษณาชวนเชื่อ จะพูดว่า บองบอง ชนะการเลือกตั้งเพราะโซเชียลมีเดีย ก็ไม่เกินจริงไปนัก”นักวิเคราะห์ทางการเมืองกล่าวกับสำนักข่าวเอเอฟพี
คอลัมน์นี้ติดตามการเมือง ทั้งในและต่างประเทศมานานขอเตือนทายาทอสูรไทยว่า อย่าเพิ่งดีใจจนออกหน้าที่ บองบอง ซึ่งเป็นทายาทเผด็จการ ชนะเลือกตั้งเพราะพลังแห่งโฆษณาชวนเชื่อ บริบทการเมืองและสังคมไทยกับฟิลิปปินส์นั้นต่างกันโดยสิ้นเชิง
อีกอย่างหนึ่ง คือ ทายาทเผด็จการฟิลิปปินส์ มาร์กอส จูเนียร์ หรือ บองบอง ใช้เวลากว่า 45 ปี เก็บเกี่ยวประสบการณ์ทางการเมืองและใช้สื่อสังคม (โซเชียล) ตลอดถึงสื่อกระแสหลัก ล้างภาพ ฟอกขาวประวัติของ บิดามานานกว่าจะถึงวันนี้
บองบอง ได้รับเลือกตั้งเป็น รองผู้ว่าฯจังหวัด อิโลคอส นอร์เต ในวัย 23 ปี โดยไม่มีคู่แข่งและหกปีต่อมาเขาได้รับเลือกตั้งเป็นผู้ว่าฯ ในจังหวัดเดียวกัน
ในห้วงเวลา 9 ปีที่เขาเข้าสู่วงการเมือง ครอบครัวมาร์กอส มีเงินและมีอิทธิพล ใช้สื่อกระแสหลักทั้งวิทยุ หนังสือพิมพ์ และทีวีสร้างภาพลักษณ์ใหม่ให้ ครอบครัวมาร์กอสและ บองบอง
“ครอบครัวมาร์กอส”ถูกประชาชนปฏิวัติ โดยการสนับสนุนของกองทัพ ที่เรียกว่า People Revolution หรือ People Power ในปี 2529 ต้องลี้ภัยไปอยู่ในฮาวาย และ จอมเผด็จการ มาร์กอส ก็ลาโลกนี้ไปในสามปีต่อมา
เมื่อกลับมาฟิลิปปินส์ ในปี 2534 บองบอง ได้รับการเลือกตั้งให้เป็น สส.ในจังหวัดอิโลคอส นอร์เต และได้รับเลือกตั้งให้เป็นวุฒิสภา ต่อมาตามลำดับ แต่กลับมาคราวนี้ ครอบครัวมาร์กอสและบองบอง ทุ่มทุนใช้เงินกับสื่อสังคมหรือโซเชียลมากมายมหาศาล จากการสำรวจตั้งแต่บองบองกลับมา พบว่า คนรุ่นใหม่ใช้โซเชียลวันละเกินสี่ชั่วโมง
และคนที่เกิดหลังปี 2525 ส่วนใหญ่ติดใจโฆษณาชวนเชื่อ ทางโซเชียลมีเดียของ บองบอง นี่เป็นสาเหตุสำคัญที่ผลักดันให้ บองบอง เป็นที่นิยมชมชอบของชาวตากาล็อก แต่นักวิเคราะห์ทางการเมืองบางคนให้ความเห็นว่าในห้วงเวลาสามทศวรรษที่ผ่านมา ผู้นำทางการเมืองในฟิลิปปินส์เต็มไปด้วยข้อครหาถูกถอดถอนถูกฟ้องร้องถูกดำเนินคดี
อดีตประธานาธิบดีบางคน ถูกศาลตัดสินจำคุกข้อหาคอร์รัปชั่น ประกอบกับความรู้สึกไม่มีความปลอดภัยในสังคม เป็นเหตุให้ผู้ที่ตื่นรู้ทางการเมือง ผู้ที่ฝักใฝ่ในเสรีประชาธิปไตย รู้สึกเบื่อหน่าย อุดมการณ์เสรีประชาธิปไตยเริ่มเลือนหายไปนี่ก็เป็นสาเหตุหนึ่ง ที่ทำให้ บองบองชนะเลือกตั้งแลนด์สไลด์
ความแตกต่างชัดเจนในบริบทของสังคมไทยกับประเทศฟิลิปปินส์
อันดับแรก คือ ฟิลิปปินส์ เป็นสาธารณรัฐและเคยเป็นอาณานิคมของสเปน และสหรัฐอเมริกามาก่อน อุดมคติและทัศนคติแบบฝรั่ง ยังมีในสายเลือดของชาวกาตาล็อกมาก ฟิลิปปินส์ มีประธานาธิบดีเป็นประมุขของประเทศ
ประเทศไทย ไม่เคยเป็นเมืองขึ้นของใครมาก่อน ประเทศไทย มีสถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นศูนย์รวมจิตใจของคนไทยทั้งชาติ ดังนั้น นักการเมืองคนไหน หรือใครก็ตามที่จาบจ้วงล่วงละเมิดสถาบันพระมหากษัตริย์ ไม่ว่าจะด้วยสื่อสังคม ด้วยวาจา หรือ ผู้ที่อยู่เบื้องหลัง
ประชาชนชาวไทย ไม่ไว้ใจพรรคการเมืองที่มีเป้าหมายทำลายสถาบัน ถึงแม้บางพรรคได้รับความนิยมในขณะที่ประชาชนยังไม่รู้เท่าทัน แต่เมื่อสังคมตั้งสติได้พรรคการเมืองนั้นก็เสื่อมสลายไปเอง
ความแตกต่างต่อมา คือ ทายาททางการเมืองของไทย ไม่มีประสบการณ์ใดๆ ในทางการเมืองและ เข้ามาสู่วงการเมืองในขณะที่บิดายังหนีคุกหนีคดี เพราะถูกศาลตัดสินจำคุกหลายปีเข้ามาทำงานการเมืองโดยมีเป้าหมายจะช่วยบิดาให้กลับบ้านได้โดยไม่ต้องติดคุกติดตะรางตามคำสั่งของผู้เป็นพ่อ
ที่แตกต่างกันในประเด็นสำคัญ คือ ว่าที่ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ มีเงิน มีสื่อสังคมอยู่ในมือและมีผู้สนับสนุนมีแนวร่วมเพิ่มขึ้นตลอดเวลาในห้วงเวลากว่าสามทศวรรษ
ในขณะที่ผู้สนับสนุน สมุนบริวารของทรราชพลเรือนไทยไม่ตาย ก็ติดคุกไปไม่น้อยกว่า 200 คน ผู้สนับสนุน ที่ยังรอดคุกรอดตะรางและยังประคองตัวอยู่ได้ ก็แปรพักตร์แยกตัวไปสร้างพรรคใหม่ หรือไม่ก็ย้ายไปอยู่ฝ่ายตรงข้ามเป็นจำนวนมาก
พรรคการเมืองของนักธุรกิจการเมือง ทุนสามานย์ ปล้นชาติ พยาบาทสถาบัน ที่เคยมีแก้วสามประการ คือ พรรคการเมือง มวลชน และ กองกำลังติดอาวุธ วันนี้เหลือแต่พรรคที่มีพันธุกรรมทางการเมืองหัวหน้าครอบครัว ส่วนกองกำลังติดอาวุธหมดไปไม่ตายก็ติดคุกหรือไม่ก็หนีไปต่างประเทศ
มวลชนที่เคยคิดว่า เป็นของตาย วันนี้กลายเป็นศัตรูคู่แข่งทางการเมือง อาทิ แรมโบ้อีสาน และนายอานนท์ แสนน่านที่เคยเป็นแกนนำคนสำคัญในการจัดตั้งหมู่บ้านเสื้อแเดง กลับใจกลายเป็น ผู้จัดตั้งหมู่บ้านเทิดไท้องค์ราชัน เป็นหมู่บ้านปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์
เมื่อพันธุกรรมทางการเมืองหรือหัวหน้าครอบครัวพรรคเพื่อไทย เรียกร้องให้คนเสื้อแดง ที่เคยใช้งานกลับมารวมตัวกันเพื่อฟื้นฟูความยิ่งใหญ่ของพรรคเพื่อไทย มาช่วยกันทำให้พรรคชนะเลือกตั้งแลนด์สไลด์ เพื่อได้ยึดอำนาจรัฐคืนมาปรากฏว่า บรรดาแกนนำเสื้อแดงหันหลังให้
นางนิตยา นาโล อดีตประธานหมู่บ้านเสื้อแดงภาคอีสานเปิดเผยว่า มีนักการเมืองหลายคนมาประสานงานขอให้กลับไปเป็นคนเสื้อแดงแต่ยืนยันไม่กลับแล้ว“ไม่ต้องการรับใช้ประชาธิปไตยจอมปลอมแฝงด้วยเผด็จการ” เพราะที่ผ่านมาพวกตนถูกหลอกมาหลายครั้งแล้วว่าไปเรียกร้องประชาธิปไตยแต่แท้จริงแกนนำและผู้อยู่เบื้องหลังกลับเป็นเผด็จการ เสียเอง
ส่วนแกนนำนปช.ประจำจังหวัดที่ไม่ก้มหัวให้ก็ไม่มีค่ารถค่าเดินทางต้องใช้งบตนเองจนทำให้หลายครอบครัวต้องบ้านแตกสาแหรกขาด ติดหนี้ ไปเสียนา มาเสียเมีย แต่แกนนำกลับร่ำรวยไปเรื่อยๆ เกือบทุกคน
นางนิตยากล่าวอีกว่า วันนี้พวกตนเข็ดมากแล้ว เพราะหลายคนที่ติดคุกก็ไม่ได้รับการช่วยเหลือ บางครอบครัวบาดเจ็บและเสียชีวิตก็ถูกปล่อยทิ้ง ขณะที่ แกนนำส่วนกลางที่ไม่เคยมาเหลียวแล มีแต่คนอีสานติดคุก แต่พอจะถึงเวลาเลือกตั้งก็จะมาบอกว่า ปลุกคนเสื้อแดงอีกครั้งหนึ่ง พี่น้องลองหลับตาคิดดูว่า ที่ผ่านมาพวกเราเจ็บปวดอย่างไรบ้าง
ด้าน นายอานนท์ แสนน่าน ประธานหมู่บ้านเทิดไท้องค์ราชันแห่งประเทศไทย ในฐานะอดีตประธานหมู่บ้านเสื้อแดง โพสต์รูปภาพและข้อความในเฟซบุ๊คว่า 19 พฤษภาคมวันคนเสื้อแดงถูกปล่อยทิ้ง หยุดวาทกรรมเก่าๆ ได้แล้วครับอย่าเอาประชาชนเป็นเครื่องมือทางการเมืองอีกต่อไปเลย สงสารประเทศไทย หยุดทำลายประเทศไทยเสียเถอะ
“...จำคำนี้ได้มั้ยครับ ให้เสื้อแดงไปรวมตัวกันที่ศาลากลาง”แล้วสรุป สุดท้ายเสื้อแดงไปรวมตัว เผาศาลากลาง ถูกจับ ติดคุกกันเป็นร้อยคน หนีคดีอีกหลายร้อยคน ใครพูดครับ แล้ว พ.ร.บ.นิรโทษที่เห็นกัน ว่า เสื้อแดงจะได้ออกจากคุกกันซะทีต่กลับมีมือดี เอาสุดซอย พ่วงเข้าไปเพื่อให้คนต่างประเทศ “รอด”คดีด้วย แล้วก็ เละเทะ จนนายกฯยิ่งลักษณ์ ต้องยุบสภา
นี่เป็นแค่สองตัวอย่างที่อดีตเสื้อแดงที่ประกาศหันหลังให้พรรคเพื่อไทย ยังไม่นับรวม นายจตุพร พรหมพันธุ์ที่ติดคุกหลายครั้งจนหมดสิทธิ์สมัคร สส. เมื่อเล่นการเมืองไม่ได้ นายจตุพรก็เคลื่อนไหวแบบสะเปะสะปะหาทิศหาทางแน่นอนไม่ได้
นอกจากคนเสื้อแดงหันหลังให้พรรคเพื่อไทยแล้วยังมี คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ อดีตเฟืองจักรชิ้นสำคัญของพรรคไทยรักไทยที่แยกตัวออกไปตั้งพรรคใหม่และประกาศจะไม่ร่วมมือกับระบอบทักษิณอีกต่อไป
นอกจากนั้น ยังมี สส.และอดีตสส.พรรคเพื่อไทย หลายรายที่มีข่าวว่าจะออกไปอยู่พรรคอื่น บางทีคำว่าแลนด์สไลด์ อาจมีความหมายว่า“แลน (ตะกวด) ไถล” เหมือนวลี ของอดีตสส.ปารีณาก็อาจเป็นไปได้
ทั้งหมดนี้คือความแตกต่างระหว่าง ทายาทอดีตเผด็จการของประเทศฟิลิปปินส์ กับ ทายาทอสูรในประเทศไทย
ดังนั้นพันธุกรรมทางการเมืองในประเทศไทย อย่าเพิ่งดีใจเพราะบริบทสังคมและการเมืองในฟิลิปปินส์กับประเทศไทย ไม่เหมือนกัน
สุทิน วรรณบวร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี