กล่าวโดยทั่วๆ ไปได้ว่าในช่วง 200 ปีที่ผ่านมา สหรัฐอเมริกาได้ค่อยๆ ก้าวขึ้นเป็นประเทศเจ้าโลกพร้อมด้วยแสนยานุภาพทางอาวุธยุทโธปกรณ์พลังเศรษฐกิจและความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี อย่างไม่เคยมีประเทศใดในประวัติศาสตร์ของโลกขณะที่จีนต้องสูญเสียความเป็นประเทศที่มีความก้าวหน้าที่สุดของโลก ทั้งทางด้านเศรษฐกิจความใหญ่โต ที่เป็นที่น่าเกรงขาม
โดยที่ผ่านมา จีนได้เผชิญกับการรุกรานของญี่ปุ่น และฝ่ายอาณานิคมยุโรปตะวันตก รวมทั้งสหรัฐอเมริกา ซึ่งแม้ว่าจีนจะนับเป็นหนึ่งในประเทศหลักที่กุมชัยชนะในสงครามโลกครั้งที่ 2 ปราบปรามทั้งเยอรมนีและญี่ปุ่น แต่ท้ายสุดเมื่อจีนต้องมาเผชิญกับสงครามกลางเมืองในปี ค.ศ. 1949 (พ.ศ. 2492) และการปฏิวัติสังคม นำโดยพรรคคอมมิวนิสต์จีน ความยิ่งใหญ่ที่สั่งสมมาในอดีตทั้งหมดของประเทศจีนก็พังทลายลงอย่างสิ้นเชิง เศรษฐกิจล่มสลาย ประชาชนอดอยาก ถึงขนาดถูกตั้งฉายาประเทศให้เป็นคนป่วยแห่งเอเชีย สิ่งเหล่านี้ถือเป็นความอับอายขายหน้าและเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสที่ฝังอยู่ในใจของบรรดาผู้นำจีนสืบมาจนปัจจุบัน
แต่ในช่วงประมาณ 40 ปีที่ผ่านมา จีนได้ประสบความสำเร็จอย่างใหญ่หลวงในการพัฒนาประเทศ ด้วยรูปแบบของพรรคการเมืองเดียวนำพา ผสมกับการเปิดประเทศ (ที่เป็นส่วนหนึ่งของเศรษฐกิจการตลาดแบบทุนนิยม) ทำให้ช่วงประมาณ 10 ปีเศษที่ผ่านมา ผู้นำจีนคนปัจจุบันคือ ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง พร้อมด้วยพรรคคอมมิวนิสต์ ได้มุ่งมั่นที่จะนำสถานะความเป็นผู้นำโลกของจีนกลับคืนมา นัยว่าเป็นการลบล้างการสูญเสียอัปยศต่างๆ ที่ได้ประสบมาจากฝีมือของฝ่ายยุโรปตะวันตกและญี่ปุ่นดังกล่าว ผ่านทางการมุ่งมั่นที่จะขจัดอิทธิพลของฝ่ายสหรัฐฯ ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และต่อกรกับสหรัฐฯ ไม่ว่าในแห่งหนใดในโลกกว้างนี้
ทั้งนี้ทั้งนั้น จีนได้เร่งพัฒนาแสนยานุภาพทางด้านการทหาร และกิจการอวกาศ เร่งพัฒนาเทคโนโลยีต่างๆ รวมทั้งทางด้านไซเบอร์ และขยายอิทธิพลทางเศรษฐกิจการค้า ด้วยนโยบายและมาตรการเส้นทางสายไหมร่วมสมัย (New Silk Road หรือ One Belt One Road หรือ Belt and Road Initiative) ที่เป็นการนำเอาทุนทรัพย์และองค์ความรู้ทางด้านเทคโนโลยีไปช่วยประเทศต่างๆ ทั่วโลก ในการพัฒนาเศรษฐกิจและชีวิตความเป็นอยู่ ซึ่งรวมถึงการเสริมสร้างความมั่นคงของแหล่งที่มาของพลังงานธรรมชาติและทรัพยากรทางธรรมชาติต่างๆ ที่จีนจำต้องพึ่งพาเพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจโดยทั่วไป กล่าวโดยรวมได้ว่า ไม่ว่าสหรัฐฯ พร้อมด้วยพันธมิตรยุโรปตะวันตก ญี่ปุ่น จะก้าวไปที่ใดในโลกกว้าง จีนก็พร้อมจะติดตามไปเพื่อมีบทบาท แข่งขัน และเสริมสร้างอิทธิพลด้วย
ล่าสุด โลกจึงได้เห็นสหรัฐฯ ตอบโต้ด้วยการเข้าไปฟื้นฟูความร่วมมือด้านความมั่นคงและเศรษฐกิจ 4 เส้า กับญี่ปุ่น ออสเตรเลีย และอินเดีย (Quadruple -QUAD) และร่วมกับอังกฤษในการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตเรือดำน้ำ พลังงานนิวเคลียร์ ให้กับออสเตรเลีย ภายใต้ชื่อ AUKUS อีกทั้งสหรัฐฯ ก็ประสบความสำเร็จในการกระตุ้นให้ประเทศพันธมิตรทั้ง ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน ออสเตรเลีย และอินเดีย เพิ่มงบประมาณทางด้านการป้องกันประเทศ และจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ทันสมัย (ซึ่งจะมาจากสหรัฐฯ เป็นหลัก) ซึ่งทั้งหมดนี้ ก็เพื่อเป็นการแสดงออกว่า สหรัฐฯ จะไม่ถอนตัวออกไปจากภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และจะไม่ยอมให้จีนมาขับไล่ไสส่งเป็นอันขาด แต่กลับจะเพิ่มพลังและสนับสนุนประเทศพันธมิตรให้มากขึ้นด้วย เพื่อเป็นการยันทัพกับจีน และปิดล้อมหรือ
ตีกรอบจีนไปในตัวอีกด้วย
ในขณะเดียวกัน ฝ่ายจีนก็ไม่ย่นย่อท้อถอย ก็ยังประกาศเป็นระยะๆ ที่จะรวมแผ่นดินใหญ่ กับจีนเกาะไต้หวัน ให้กลับมาเป็นประเทศเดียวกันให้ได้ในช่วงยุคนี้และจีนก็ย้อนรอยฝ่ายสหรัฐฯ และออสเตรเลีย กับนิวซีแลนด์ ในการเพียรพยายามที่จะเจาะเข้าไปสร้างความสัมพันธ์ในเชิงพันธมิตรทางด้านความมั่นคงและเศรษฐกิจ กับกลุ่มประเทศหมู่เกาะแปซิฟิกตอนใต้ เช่น ประเทศโซโลมอน ไอซ์แลนด์
นอกจากนั้น ก็มีข่าวที่พอจะยืนยันได้ว่า จีนได้ช่วยกัมพูชาขยายท่าเรือเรียม (Ream) ให้เป็นท่าเรือแบบทวิพันธกิจ คือเป็นทั้งท่าเรือพาณิชย์ และท่าเรือทางการทหาร แลกกับการที่จีนได้สิทธิที่จะใช้ท่าเรือแห่งนี้ด้วย ซึ่งเป็นการเลี่ยงบาลีในทางเทคนิคต่อการละเมิดกฎหมายรัฐธรรมนูญของกัมพูชาเอง ที่ระบุว่ากัมพูชาจะต้องไม่ให้ต่างชาติเข้ามาตั้งฐานทัพในประเทศ แต่ในทางปฏิบัติแล้วนี่ถือว่าจีนนั้นเริ่มที่จะมีฐานทัพเรือในภูมิภาคอ่าวไทยโดยอัตโนมัติ ซึ่งในภาพรวมจะกลายเป็นการคุกคามประเทศในละแวก และสร้างความแตกแยกให้กับประชาคมอาเซียน รวมทั้งทำลายแนวคิดที่มุ่งให้ภูมิภาคเอเชีย
ตะวันออกเฉียงใต้เป็นเขตแห่งความเป็นกลาง (Neutral)
ในระดับโลกกว้าง จีนก็ปฏิเสธระบอบประชาธิปไตยแบบตะวันตก คือประชาธิปไตยแบบที่มีการเลือกตั้งโดยประชาชน ที่มีพรรคการเมืองต่างๆ เข้าร่วมแข่งขัน และกล่าวว่า การเมืองแบบพรรคเดียวก็เป็นประชาธิปไตยได้ เพราะการเมืองประชาธิปไตยแบบพรรคเดียวนั้น มีการแข่งขันกันภายในพรรค รวมทั้งพรรคเดียวนั้น สามารถตอบสนองความผาสุกต่างๆ ของประชาชนพลเมืองได้อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็ว หรือนัยหนึ่งระบอบประชาธิปไตยแบบพรรคเดียวของจีน สามารถนำเอาความต้องการของประชาชนพลเมืองมามอบให้กับประชาชนพลเมืองได้ (Delivery) เช่นที่ รัฐบาลจีนได้พิสูจน์ให้โลกได้เห็นในช่วง 40 ปีที่ผ่านมา ในขณะที่การเมืองแบบการเลือกตั้งที่มีการแข่งขันกันในประเทศต่างๆ ทั่วโลก มักจะนำไปสู่การหาประโยชน์เข้าตน กลายเป็นการหาคะแนนเสียงและคะแนนนิยมไปวันๆ หนึ่ง จนไม่สามารถตอบสนองประชาชนพลเมืองได้อย่างจริงจัง ซึ่งทั้งหมดนี้ ในสายตาของจีนแล้ว เรื่องสิทธิเสรีภาพ และสิทธิมนุษยชนอื่นๆ ไม่ได้มีความสำคัญ
โดยสรุป จัดได้ว่าโลกกำลังเผชิญกับสภาวะของการเป็นคู่อริ การแข่งขันชิงดีชิงเด่นกันอย่างถึงพริกถึงขิง ระหว่างฝ่ายสหรัฐฯ กับจีน แบบตาต่อตาฟันต่อฟัน ถึงไหนถึงกัน ซึ่งก็มีผลให้โลกจะอยู่ในความหวาดหวั่นระทึกใจมากยิ่งขึ้นเป็นลำดับ และเหตุการณ์ที่เกิดจากความเข้าใจผิดหนึ่งใดหรืออุบัติเหตุไม่คาดคิดไม่ตั้งใจ ก็อาจจะลามปามไปสู่การสู้รบอย่างรุนแรงถึงขั้นการใช้อาวุธนิวเคลียร์เลยก็ได้ ซึ่งโลกจะปล่อยให้สถานการณ์เป็นเช่นนั้นไม่ได้ ก็จำเป็นที่จะต้องหาหนทางที่จะให้มีการออมชอม พูดจาหารือกัน หรือวางระบบเตือนภัย เพื่อไม่ให้เรื่องราวลุกลาม
ในอดีตเมื่อปี ค.ศ. 1962 (พ.ศ. 2505) โลกก็อกสั่นขวัญหายว่าจะเกิดสงครามนิวเคลียร์หรือไม่ไปครั้งหนึ่ง เมื่อฝ่ายสหภาพโซเวียตได้ดำเนินแผนแอบไปติดตั้งขีปนาวุธบนเกาะคิวบา ซึ่งฝ่ายสหรัฐฯ ได้ค้นพบการลำเลียงวัสดุอุปกรณ์จากการถ่ายภาพทางอวกาศ และนำไปสู่การยื่นคำขาด ให้ฝ่ายสหภาพโซเวียตถอนกำลังทั้งหมดออกไปจากคิวบา มิฉะนั้น ฝ่ายสหรัฐฯ ก็พร้อมที่จะดำเนินการให้ถึงที่สุด โดยในที่สุดฝ่ายสหภาพโซเวียตก็ยินยอม
จากเหตุการณ์นั้นก็มีการเจรจาหารือว่า จะไม่ให้มีการล้ำเส้น (Cross the Red Line) ของกันและกันในเรื่องใดบ้าง รวมทั้งการมีการสื่อสารสายตรงในระดับผู้นำ เพื่อป้องกันมิให้เรื่องบังเอิญต้องลุกลามต่อไป เป็นการตัดไฟแต่ต้นลม รวมไปถึงการจัดทำข้อตกลงว่าด้วยการลดอาวุธเป็นการทั่วไป และลดจำนวนหัวขีปนาวุธนิวเคลียร์ ซึ่งล่าสุด นายเควิน รัดด์ อดีตนายกรัฐมนตรีของออสเตรเลีย ประธานสถาบันเอเชียโซไซตี้ และผู้ชำนาญการเรื่องจีนศึกษาชั้นนำของโลก ได้มีข้อเสนอออกมาว่า จีนและสหรัฐฯ จะต้องร่วมกันคิดและจัดตั้งระบบการบริหารจัดการการแข่งขัน (Managed Competition) ซึ่งก็เป็น
ข้อเสนอที่น่าสนใจและคู่ควรต่อการพินิจพิจารณา ไม่ใช่แค่ระหว่างจีนกับสหรัฐฯ เท่านั้น แต่ก็โดยแวดวงการเมือง วิชาการ และสื่อของโลกด้วย
เรื่องหนึ่งที่น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นได้ดีก็คือ การเจรจาหารือระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ว่า จะมีท่าทีกันอย่างไรต่อกรณีไต้หวัน เพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าและการใช้กำลังในการเสริมสร้างสันติภาพและความมั่นคงในบริเวณช่องแคบไต้หวันนั้น เพื่อที่จะได้หลีกเลี่ยงอุบัติเหตุใดๆ ที่จะนำไปสู่กรณียูเครน 2 ที่สามารถสร้างความเดือดร้อนทวีคูณให้กับภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก และซ้ำเติมวิกฤตเศรษฐกิจโลกให้เลวร้ายขึ้นไปอีกอย่างมหาศาล
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี