ตั้งแต่ปลายปี 2565 เป็นต้นมา สังคมไทยประสบวิกฤตราคาน้ำมันมาโดยตลอด จนมีการประกาศปรับราคาจำหน่ายน้ำมันในประเทศเรื่อยมา รวม 48 ครั้ง จากราคา น้ำมันตระกูลดีเซลตั้งแต่ “ไฮพรีเมียมดีเซล” ลิตรละ 35.06 บาท เป็น 47.86 บาท, ราคาไฮดีเซลเอสจากลิตรละ 29.04 บาท เป็น 34.94 บาท, ราคาไฮดีเซลบี 20 เอสจากลิตรละ 29.04 บาท เป็น 34.94 บาท ขณะที่ตระกูลเบนซินทุกประเภทตั้งแต่แก๊สโซฮอล์ “อี85” จากลิตรละ 24.14 บาทเป็น 37.54 บาท, เบนซินแก๊สโซฮอล์ “อี20เอส” จากลิตรละ30.24 บาท เป็น 44.04 บาท, เบนซิน “แก๊สโซฮอล์ 91”จากลิตรละ 31.48 บาท เป็น 44.88 บาท, ราคาเบนซิน “แก๊สโซฮอล์ 95” จากลิตรละ 31.75 บาท เป็น 45.15 บาท
รัฐบาลให้เหตุผลว่าเป็นผลมาจากราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้นจากสงครามยูเครน-รัสเซีย กอปรกับค่าบาทอ่อนและช่วงเศรษฐกิจประเทศฟื้นตัวหลังจากสามารถสกัดกั้นหยุดยั้งการแพร่ระบาดของวิกฤต “โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19”
ที่ผ่านมารัฐบาลได้พยายามบรรเทาความเดือดร้อนด้วยการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมัน และใช้เงินกองทุนสำรองน้ำมันชดเชยเพื่อพยุงราคาน้ำมันไม่ให้สูงมากขึ้นทำให้เกิดผลกระทบกับประชาชนกระทั่งกองทุนน้ำมันขาดดุลไปกว่า 9.1 หมื่นล้านบาท
ประเด็นอยู่ที่ว่ารัฐบาลมีความพยายามมีความสามารถลดผลกระทบบรรเทาความเดือดร้อนได้เท่านี้หรือมีประเด็นก่อนหน้านี้ที่บริษัทเอกชนบางแห่งหรือแม้แต่ “ธนาคารโลก” ก็ตามประเมินว่า บริเวณไหล่ทวีปฝั่งไทยซึ่งเป็นพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลระหว่างราชอาณาจักรไทยกับราชอาณาจักรก็อมปุเจีย ซึ่งมีขนาดราว 26,000 ตารางกิโลเมตร ซึ่งจากการสำรวจและประเมินจากหลายฝ่ายพื้นที่ดังกล่าวมีปริมาณน้ำมันธรรมชาติอยู่ราว 7 แสนล้าน-2,000 ล้านบาร์เรล แถมด้วยปริมาณก๊าซธรรมชาติอีกกว่า3-10 ล้านล้านลบ.ฟุต รายได้ส่วนนี้ใช้หนี้เงินกู้หนี้สาธารณะได้หมดในเวลาไม่กี่ปีแน่นอน
และนี่คือความสุขที่มั่นคง มั่งคั่งและยั่งยืนของคนไทยและประเทศไทย
พื้นที่บริเวณนี้ “รัฐบาล” ในยุคที่ระบอบทักษิณรุ่งเรือง ได้ลงนาม “เอ็มโอยู” เพื่อแบ่งเขตสำหรับ “ทะเลอาณาเขตและเขตเศรษฐกิจจำเพาะ” ในพื้นที่ซึ่งอยู่เหนือเส้นละติจูด 11 องศาเหนือขึ้นไป จนถึงเส้นที่กัมพูชาอ้าง และส่วนที่อยู่ใต้เส้นนี้ลงไปให้ทำเป็นเขตพัฒนาร่วม โดยมีข้อเท็จจริงตามรายงานของ “วิกิลีกส์” อ้างว่า รัฐบาลทักษิณมีการตกลงทางลับ “สมเด็จฮุนเซน” ว่าจะแบ่งรายได้ในพื้นที่ใกล้ไทยมากที่สุด สัดส่วนที่ไทยจะได้ 80% กัมพูชา 20% ส่วนพื้นที่ตรงกลางจะแบ่งผลประโยชน์ 50-50 และแบ่งผลประโยชน์ให้ไทย 20 กัมพูชา 80 สำหรับพื้นที่ใกล้ฝั่งกัมพูชา
โครงการนี้ถูกพับเก็บใส่ลิ้นชักมาตลอดในยุคระบอบทักษิณ เพราะมี “ตลกบนหลังคารถ” มีฝ่ายการเมืองไทยเข้ามาเอี่ยวอิงผลประโยชน์
ถ้า “คสช.คือคำว่า “คืนความสุขให้ประชาชน” ... หัวหน้าคสช.จึงไม่ควรรีรอให้ชักช้าในการเจรจาร่วมมือกันสร้างผลประโยชน์ร่วมระหว่างสองประเทศเพื่อประชาชน โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
ดีกว่ารอให้ผลประโยชน์ชาติมหาศาลนี้ตกเป็นของฝ่ายการเมืองที่จะมีอำนาจในอนาคตอันใกล้
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี