ที่พาดหัวคือข้อใหญ่ ใจความในญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลของฝ่ายค้านเป็นครั้งสุดท้ายในวาระของสภาชุดนี้ ถ้าดูจากญัตติที่ฝ่ายค้านยื่นถึงมือประธานสภาผู้แทนราษฎรยังจำแนกไม่ออกว่าฝ่ายค้านอภิปรายรัฐบาล หรือ ประจานตัวเองกันแน่
ในช่วงเวลา 7-8 ปีที่ผ่านมาฝ่ายค้านไม่ได้ทำการบ้านในการหาข้อมูลความบกพร่องในหน้าที่ของรัฐบาล...เพราะมัวแต่หมกมุ่นอยู่กับการสรรหาความคิดดิสเครดิตรัฐบาลด้วยการทำลายชื่อเสียงและเกียรติภูมิรัฐบาลเป็นหลัก ย้ำคิด ย้ำทำ อยู่อย่างเดียวว่าพลเอกประยุทธ์ มาจากยึดอำนาจเป็นเผด็จการทหารที่ไร้ความรู้ความสามารถขาดวิสัยทัศน์
ดังที่ นายเถกิง สมทรัพย์ อดีตนายกสมาคมนักข่าวทีวีวิทยุแห่งประเทศไทยโพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊คตอนหนึ่งว่า “ในช่วง 7-8 ปีที่ผ่านมา..ฝ่ายค้านลุงใช้กลยุทธ์ในการทำลาย “บิ๊กตู่” ด้วยการด่า จัดม็อบและปล่อยให้ความเบื่อหน่ายมากัดเซาะรัฐบาลที่มีทหารเป็นเสาหลัก กล่าวคือฝ่ายค้าน ไม่ได้ทำงานอะไรเป็นชิ้นเป็นอันแต่อาศัยการทำลายชื่อเสียงฝ่ายรัฐบาลจนชาวบ้านเบื่อหน่าย”
คอลัมน์นี้เห็นด้วยกับคุณเถกิงและแม้แต่ สส.ในฝ่ายค้านเองสำนึกได้ว่าสิ่งที่ฝ่ายค้านด่า พลเอกประยุทธ์ ล้วนแต่หวนกลับมาหาตัวเอง เพราะมหากาพย์โกงใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทยคือเมื่อคราวพรรคแกนนำฝ่ายค้านเป็นรัฐบาล
ไล่มาตั้งแต่ คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ(คตส.)ตรวจสอบนายทักษิณ ชินวัตร หลังยึดอำนาจ 19 ก.ย. 2549 และคตส.นำพยานหลักฐานขึ้นฟ้องศาลเป็นเหตุให้ศาลตัดสินยึดทรัพย์ นายทักษิณขณะเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จำนวน 76,621,603,061.05 บาท พร้อมดอกผล
จนกระทั่งมาถึง 2555 คดีที่พรรคประชาธิปัตย์ซึ่งเป็นฝ่ายค้านหาข้อมูลหลักฐานการโกงในโครงการรับจำนำข้าวทุกเม็ด ซึ่งเป็นโครงการ #ที่ทักษิณคิดเพื่อไทยทำ ปชป.นำขึ้นศาล การโกงครั้งมโหฬารที่ ปชป.นำมาอภิปรายในสภา เสร็จแล้วส่งหลักฐานที่ได้มาให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)ปชป.ซึ่งเป็นฝ่ายค้านได้มา
เมื่อ ป.ป.ช.นำเรื่องตรวจสอบเพิ่มเติมจนมีมติชี้มูลความผิดรัฐบาลพรรคเพื่อไทยและนำเรื่องขึ้นฟ้องศาล...สุดท้ายศาลตัดสินว่ามีความผิดตามพยานหลักฐานที่พรรคฝ่ายค้านคือ ปชป.ได้มาหลังพิจารณาคดีเกือบสองปี ศาลตัดสินจำคุก น.ส.ยิ่งลักษณ์ นักการเมืองข้าราชการและพ่อค้าที่สมคบกันปล้นชาติโกงชาวนากว่า 40 คนสมุนบริวารยิ่งลักษณ์ถูกจำคุกลดหลั่นกันไปตั้งแต่ 5 ปี ถึง 48 ปี
น.ส.ยิ่งลักษณ์ และจำเลยอื่นๆ หลายคนหนีออกนอกประเทศก่อนศาลตัดสิน ทิ้งให้นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รัฐมนตรีพาณิชย์ ข้าราชการและพ่อค้าติดคุกแทน
ต้องยอมรับความจริงว่าทั้งที่คตส.ตรวจสอบและ ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดนายทักษิณและน.ส.ยิ่งลักษณ์ ล้วนได้รับข้อมูลพื้นฐานมาจาก ปชป.ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้านในสมัยพรรคไทยรักไทย นายทักษิณและน.ส.ยิ่งลักษณ์ ในนามพรรคเพื่อไทย
ดังนั้นเมื่อสส.จากพรรคฝ่ายค้านบางส่วนสำเหนียกว่าฝ่ายค้านในปัจจุบัน ด่ารัฐบาลด้วยสำนวนโวหารหยาบคาบและกักขฬะ แต่ไม่เคยมีหลักฐานมายืนยันในสภาและส่งต่อให้ ป.ป.ช.ตรวจสอบได้ สส.พรรคฝ่ายค้านบางกลุ่มและสส.เบี้ยหัวแตก ที่เป็นฝ่ายค้านก็ดีและฝ่ายรัฐบาลก็ได้จึงลงคะแนนให้ พลเอกประยุทธ์ ทุกครั้งที่ถูกอภิปรายในสภา
พรรคฝ่ายค้านซึ่งพิการทางความคิด จึงกล่าวหา สส.ที่ลงคะแนนให้รัฐบาลว่า เป็นงูเห่า และใช้สำนวนโวหารเป็นงานถนัดในการทำลายรัฐบาล การยื่นญัตติครั้งนี้ จึงมีคำว่า รัฐบาลใช้เงินซื้อฝ่ายค้านด้วยจำนวนเงินมหาศาล
“ครั้งนี้ผมได้ยินมาว่าราคาสูง 50 ถึง 80 ล้านบาท “สัมภเวสีหนีคุกพูดในคลับเฮ้าส์ ที่ชาวบ้านเรียก “ขลับเห่า”
ผู้นำฝ่ายค้าน วันๆ นั่งคิดแต่สำนวนโวหารด่ารัฐบาล เมื่อนายใหญ่บอกใบ้ว่า งูเห่ากินกล้วยเครือใหญ่ก็คิดโวหารใหม่ขึ้นมาว่า “ไปสุรินทร์ไล่หนูตีงูเห่า”..เมื่อคิดสำนวนขึ้นมาได้เพื่อให้คล้องจองกับญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลด้วยโวหาร “โค่นนั่งร้านไล่นายกสมองพิการ”
โค่นนั่งร้านในที่นี้ คือ พรรคร่วมรัฐบาลที่เป็นฐานเสียงให้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ระดมสมองร่วมมือกันพัฒนาประเทศและร่วมมือกันแก้วิกฤตซ้อนวิกฤตอันเนื่องมาจากวิกฤตโควิด-19
ที่ทำให้ทั้งโลกหยุดชะงักทั้งทางด้านอุตสาหกรรมผลิตสินค้าอุปโภค-บริโภคและอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว
โควิด-19 ทำให้ทั้งโลกกักตัวอยู่แต่ในบ้านเมืองของตัวเองนานเกือบสามปี พอวิกฤตโควิดเริ่มคลี่คลาย วิกฤตสงคราม-รัสเซียยูเครน ก็เกิดขึ้น (ความจริงต้องเรียกสงครามรัสเซีย-สหรัฐอเมริกาน่าจะตรงกับความจริงมากกว่า)
รัสเซีย กับ ยูเครน เป็นแหล่งอุตสาหกรรมและเกษตรกรรมหล่อเลี้ยงตะวันตกมานานเป็นแหล่งส่งพลังงานแก๊ส/น้ำมัน และอาหาร ข้าวสาลี ข้าวโพด น้ำมันดอกทานตะวันไปขายให้ตะวันตกโดยเฉพาะประเทศยุโรปและอเมริกา
สงครามรัสเซีย-ยูเครน ไทยไม่มีผลกระทบเรื่องอาหาร เพราะไทยมีอู่น้ำอู่ข้าว แต่เรากลับมีผลกระทบมากเรื่องพลังน้ำมัน
ดังนั้น หากฝ่ายค้านจริงจัง เรื่องล้มรัฐบาลต้องอภิปรายเรื่องน้ำมันเป็นหลัก แล้วนำหลักฐานขึ้นศาลว่ารัฐมนตรีพลังงาน ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบอย่างไร ไม่ใช่เน้นโค่นนั่งร้าน ไล่นายกฯสมองพิการอันหลังนี้ถ้าเอากระจกส่องหน้าแล้วจะรู้ว่าใครสมองพิการ
นั่งร้านชิ้นแรกที่ฝ่ายคิดโค่นลงให้ได้คือ พรรคภูมิใจไทย บอกได้จากสำนวนใหม่ที่ออกมาว่า “ไปสุรินทร์ไล่หนูตีงูเห่า” เน้นตรงจุดนี้ เพราะ สส.สุรินทร์ บางคนลงคะแนนให้รัฐบาลในวาระรับหลักการ พ.ร.บ.งบประมาณปี 2566 และแกนนำพรรคฝ่ายค้าน คงเชื่อว่าสส.สุรินทร์ ส่วนใหญ่แปรพักตร์ไปหา ภท.ที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นหัวหน้าพรรค นายอนุทินมีชื่อเล่นว่า “หนู” ดังนั้นคนสมองพิการจึงว่าคิดคำขวัญขึ้นมาด่าเพื่อจะโค่นห้างร้านได้ แต่ห้างร้านชื่อว่า ภูมิใจไทย เป็นห้างร้านที่มีโครงสร้างท่อน้ำเลี้ยงใหญ่กว่าพรรคแกนนำฝ่ายค้านหลายเท่า
จากโครงสร้างของท่อน้ำเลี้ยงที่มาจากหลายเส้นทาง ท่อน้ำเลี้ยงที่มีหลากหลายซึ่งผู้นำพรรคฝ่ายค้านคิดไม่ถึง
ภท.ไม่ใช่นั่งร้านธรรมดา บางทีเลือกตั้งครั้งหน้า อาจกลายไปเป็นตัวบ้านแทนนั่งร้านก็ได้”ไปสุรินทร์ไล่หนูตีงูเห่า” ถ้าไม่ถูกงูเห่ากัด ก็อาจติดโรคฉี่หนูตายเอาได้ง่ายๆ
ส่วนนั่งร้านประชาธิปัตย์นั่น แข็งโป๊ก เพราะตกผลึกมานานกลายเป็นเนื้อแท้ของตัวบ้านที่ไม่อาจโค่นล้มได้ นั่งร้าน ปชป.เคยเป็นนายกรัฐมนตรีมาแล้วสี่คน บางคนเป็นหลายสมัยจนไม่อาจเรียกว่าเป็นนั่งร้านได้ แต่ต้องเรียกว่า เป็นรากฐานของบ้านที่ยากจะล้มลงได้
พูดง่ายๆ คือ ปชป.ในฐานะเป็นพรรคร่วมรัฐบาล ที่มีผลงานจับต้องได้ นโยบายประกันราคาพืชผลได้ผลทุกตัวมันสำปะหลังจาก กก. 7 บาท เป็น 14 บาท ยางพาราจากสามกิโลร้อย เคยขึ้นถึงหนึ่ง กก. 110 บาท วันนี้เป็นตามกลไกตลาด เพราะวิกฤตซ้อนวิกฤตราคายางพาราแผ่นดิบ กก.ละ 64-65 บาท ข้าวเปลือกเปียกจาก6,000 บาท/ตัน เป็น 7-8 พันบาท/ตัน ปาล์มน้ำมันจาก กก.ละ2.5 บาท ราคาสูงขึ้นโดยเฉลี่ย 10 บาทต่อ กก. ข้าวโพดและพืชเศรษฐกิจทุกชนิดราคาสูงขึ้น จึงพูดได้ว่านโยบายประกันราคาพืชผลได้ผล 100%
เพราะฉะนั้น นั่งร้าน ปชป.กับนั่งร้าน ภท.ยากที่พรรคฝ่ายค้านจะเขย่าให้สั่นสะเทือนได้
ในห้วงเวลาห้าทศวรรษที่ผ่าน การอภิปรายในสภาเน้นที่สามประเด็นใหญ่ เมื่อสี่สิบห้าสิบปีก่อน พูดกันเรื่องความมั่นคงของชาติ ภัยจากลัทธิคอมมิวนิสต์ที่คุกคามจากภายนอกและภายในประเทศ ต่อมาเมื่อปัญหาคอมมิวนิสต์ จางลงไปสภาไทยอภิปรายกัน เรื่อง ทุนนิยมและเผด็จการทหาร
ตั้งแต่ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ วางมือทางการเมืองในปี 2531 แวดวงการเมืองพูดกันถึงเรื่องคอร์รัปชั่น เป็นเงื่อนไขสำคัญของการปฏิวัติรัฐประหาร
และตั้งแต่ปี 2540 เป็นต้นมารัฐสภาไทย ใช้เวลาส่วนใหญ่อภิปรายกัน เรื่อง ธุรกิจการเมืองทุนนิยมสามานย์ปล้นชาติ อาฆาตพยาบาทสถาบัน คอร์รั่ปชั่นทางนโยบายและคอร์รัปชั่นสายตรง
สิบห้าปีจากวันนั้น ถึงวันนี้สังคมไทยทั้งในและนอกสภาถกเถียงกัน เรื่องรัฐธรรมนูญ เรื่อง คอร์รัปชั่น รัฐบาลเป็นเผด็จการ และลามปามไปถึงสถาบันหลักของชาติ
ในอดีตรัฐบาลเกือบทุกยุคทุกสมัย เมื่อถูกฝ่ายค้านอภิปรายไม่ไว้วางใจจะขับเคลื่อนต่อไปไม่ได้รัฐบาลที่ถูกอภิปราย ไม่ยุบสภาก็ลาออก สาเหตุที่เป็นเช่นนั้น เพราะฝ่ายค้านในอดีตมีแผนการทำงานเป็นระบบ ไม่มีการกล่าวหาลอยๆ ก่อนอภิปรายต้องมีหลักฐานแน่นหนา ดังนั้น ทุกครั้งที่อภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลไม่จบในศาล ก็จบในสภา
แต่รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นับว่าพิเศษกว่ารัฐบาลใดยิ่งถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจยิ่งได้รับความนิยมจากประชาชน เพราะคนไทยเรามีคำพังเพยมาแต่โบราณว่า “สำเนียงส่อภาษา กิริยาส่อสกุล”
มาดูว่าภาษาของฝ่ายค้านว่า ส่ออะไร นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล มักกล่าวในระหว่างอภิปรายว่า“ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริต ไร้ภูมิปัญญา ไร้องค์ความรู้ ไร้ความสามารถ ไร้ประสิทธิภาพ ไร้จิตสำนึกรับผิดชอบ พิการทางความคิด ยึดติดแต่อำนาจ ไม่เคารพหลักนิติรัฐนิติธรรม และไร้คุณธรรมจริยธรรม”
ส่วนผู้นำฝ่ายค้าน นายชลน่าน ศรีแก้ว มักอภิปรายว่า“ส่อไปทางทุจริต สืบทอดอำนาจเผด็จการ ได้กลิ่นปฏิวัติ ขาดทัศนวิสัยรัฐบาลทำงานไม่เป็น ไม่มีความรู้ ขอทานเลี้ยงงานวันเกิด”
จึงสรุปว่าการอภิปรายไม่ไว้วางใจในสโลแกน“โค่นนั่งร้านไล่รัฐบาลพิการทางสมอง” ต้องรอฟังคำอภิปรายว่า ใครฝ่ายไหนสมองพิการ และท่านที่ติดตามการอภิปรายในสภา จะได้ยินคำพูดว่า คนสมองพิการครั้งสุดท้ายในสภาชุดนี้
สุทิน วรรณบวร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี