อาจกล่าวได้ว่า สหรัฐอเมริกา เป็นผู้นำต่อต้านการประหารชีวิต โดยท่องคัมภีร์สิทธิมนุษยชนบังหน้า เพื่อเรียกร้องกดดันประเทศต่างๆ ทั่วโลกให้ยกเลิกการประหารชีวิต จำเลยที่ถูกศาลตัดสินให้ประหารชีวิตไปแล้ว โดยที่ไม่ได้มองกลับไปว่า ในบ้านตัวเองเป็นอย่างไร
จึงพูดได้เต็มปากว่า ในบรรดาประเทศเสรีประชาธิปไตย สหรัฐอเมริกายังคงประหารชีวิตนักโทษมากที่สุดประเทศหนึ่งในโลก นับตัวเลขคร่าวๆ ตั้งแต่ พ.ศ. 2558 ถึงพ.ศ. 2561 นักโทษที่ถูกศาลตัดสินประหารชีวิตในสหรัฐฯ ถูกฉีดยาให้ตายไปแล้วไม่น้อยกว่า 88 คนนี้ยังไม่นับรวม พ.ศ. 2563 ที่สหรัฐประหารนักโทษ 23 คน พ.ศ. 2564 มีนักโทษถูกประหาร 10 คน และภายในห้าเดือนของ พ.ศ. 2565 นักโทษประหารถูกฉีดยาให้ตายไปแล้ว 10 คน
นับว่าน่าสยดสยองมาก ที่ประเทศเรียกตัวเองว่า เสรีประชาธิปไตยประหารชีวิตคนได้ทุกปี โดยไม่มีใครทัดทานขัดขวางและโวยวายด่าว่าประณามอเมริกาเรื่องการฆ่านักโทษประหาร
ก็เห็นมีเพียงแต่สหรัฐอเมริกา นี่แหละที่เที่ยวด่าว่าเที่ยวประณามประเทศอื่นๆ ทุกครั้งที่มีนักโทษถูกประหารชีวิต
สหรัฐฯนอกจากไม่มองตัวเองแล้วยังไม่ยอมทำความเข้าใจกับบริบทสังคมการเมืองและความมั่นคงของประเทศอื่นๆ ไม่ได้คิดว่า นักโทษประหารบางรายหากปล่อยไว้จะสร้างความหายนะกับมวลมนุษย์ได้ใหญ่หลวงอย่างไร
ล่าสุดหลังจากที่เอ็นจีโอและองค์กรนิรโทษกรรมสากล (แอมเนสตี้อินเตอร์เนชั่นแนล) สมคบกับสื่อตะวันตกประโคมข่าว #เรือนจำในสภาพเมียนมาอาจจะประหารชีวิตนักการเมืองและนักเคลื่อนไหวทางการเมือง#ในความผิดอาญาข้อหาก่อการร้าย
สถานทูตสหรัฐฯในสหภาพเมียนมา ออกแถลงการณ์ ในนามของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา ประณามความพยายามประหารชีวิตนักโทษประหารสองคนว่า
“สหรัฐอเมริกาขอประณามรัฐบาลทหารเมียนมาอย่างรุนแรง ตามที่มีรายงานข่าวว่ารัฐบาลทหารเมียนมามีแผนการประหารชีวิต ผู้ที่ฝักใฝ่ประชาธิปไตย และต่อต้านรัฐบาลทหาร นับเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่ารัฐบาลทหารเมียนมาไม่ได้ใส่ใจในสิทธิมนุษยชนและหลักนิติธรรม เราขอเรียกร้องให้ปล่อยตัวผู้ต้องขังทั้งหมดที่ถูกจำคุกโดยไม่ชอบธรรม”
ลงชื่อ Ned Price ไม่รู้ว่าใหญ่แค่ไหน แต่ออกแถลงการณ์ในนามกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา
ถ้าพิจารณาตามความเป็นจริง สหภาพเมียนมา เป็นเมืองพุทธที่ออกจะเคร่งศาสนามากกว่าประเทศอื่นๆในดินแดนสุวรรณภูมิ การฆ่าสัตว์ตัดชีวิต หากหลีกเลี่ยงได้ก็จะไม่ทำ และในความเป็นจริง สหภาพเมียนมาปลิดชีวิตนักโทษประหารครั้งสุดท้ายในสมัย นายพลเนวิน เมื่อ พ.ศ.2525 นักโทษประหารที่ถูกแขวนคอครั้งนั้นเป็นชายวัย 24 ปี ถูกตัดสินประหารชีวิต ฐานความผิดก่อการร้าย
ตั้งแต่นั้นมาเรือนจำเมียนมาไม่เคยประหารชีวิตนักโทษอีกเลยทั้งๆ ที่ในแต่ละปีมีนักโทษถูกศาลตัดสินประหารชีวิตไม่ต่ำกว่าสิบคนแต่สุดท้ายนักโทษประหารเหล่านั้นก็ได้รับการลดโทษ อภัยโทษและนิรโทษกรรมตามลำดับ
นักวิเคราะห์การเมืองและผู้สื่อข่าวชาวเมียนมามีความเห็นตรงกันว่าสุดท้ายอดีตสส.และนักเคลื่อนไหวทางการเมืองที่ถูกศาลทหารตัดสินประหารชีวิต คงไม่ถูกฆ่าให้ตาย เหมือนในสหรัฐฯ
“การตัดสินประหารชีวิตคือการปรามหรือการขู่ว่าอย่าเหลิงเกินไป” วินมิตร โยสาละวิน ผู้สื่อข่าวชาวเมียนมาที่ทำข่าวการเมืองในเมียนมามากว่าสี่สิบปี บอกกับแนวหน้าทางโทรศัพท์
และ เสริมว่าที่สื่อตะวันตกประโคมข่าวใหญ่โต เพราะนักโทษประหารสองคนนี้ เป็นคนมีชื่อเสียง คนหนึ่งเป็น สส.พรรคเอ็นแอลดีของนางออง ซาน ซู จี อีกคนเป็นนักเคลื่อนไหวทางการเมืองชื่อดัง นายเพียว เซยา ตอ เป็นอดีต สส.พรรคเอ็นแอลดี ส่วนนักโทษประหารร่วมคดีของเขา คือ นายจ่อ มิน ยู
ทั้งสองเป็นผู้ต่อต้านรัฐบาลทหารหัวรุนแรงสุดโต่ง ที่สำคัญทั้งสองคนได้รับการสนับสนุนจากตะวันตกโดยเฉพาะอเมริกาให้การต่อต้านรัฐบาลทหารเมียนมาโดยวิธีการรุนแรงจนถูกรัฐบาลทหารขึ้นบัญชีเป็นผู้ก่อการร้าย(ผู้เขียน)
นักโทษประหารทั้งสองคน ถูกจับข้อหา เป็นตัวการและสมคบกับผู้ก่อการร้าย ถูกจับดำเนินคดีและศาลตัดสินประหารชีวิต เมื่อวันที่ 21 มกราคม 2565 ตามกฎหมายเมียนมา จำเลยที่ถูกศาลตัดสินประหารชีวิตต้องอุทธรณ์ภายในเจ็ดวัน เมื่อทนายของจำเลยยื่นอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ใช้เวลาพิจารณาในเดือน ก.พ.2565 และศาลอุทธรณ์ตัดสินยืนตามศาลชั้นต้น
ตั้งแต่นั้นมาขบวนการต่อต้านรัฐบาลทหารเมียนมาซึ่งเริ่มต้นจากอเมริกาก็เริ่มเคลื่อนไหววิทยุเอเชียเสรี ซึ่งเป็นกระบอกเสียงของวอชิงตัน เสนอข่าวครึกโครมว่ารัฐบาลทหารเมียนมาเตรียมการประหารชีวิตนักการเมืองฝ่ายตรงข้ามที่ต่อต้านการยึดอำนาจ
สหรัฐอเมริกาออกมาโวยโดยมิได้ศึกษากฎหมายเมียนมาที่บัญญัติว่านักโทษประหารเมื่อศาลตัดสินถึงที่สุดแล้วให้ทางเรือนจำดำเนินการตามกระบวนการภายใน 45 วัน ศาลอุทธรณ์เมียนมา ตัดสินยืนตามศาลชั้นต้นตั้งแต่ต้นเดือน ก.พ. นี่ก็ปาเข้าปลายเดือนมิถุนายน เกิน 100 ไปแล้ว แต่อเมริกายังโวยวายตีโพยตีพายเอาตอนนี้ทั้งๆที่เมียนมายังไม่ได้กำหนดว่า ประหารวันไหนเมื่อไหร่
บังเอิญมีรายงานข่าวว่า เมื่อวันที่ 27 พ.ค. ศาลอาญาในเมืองท่าขี้เหล็ก ได้ตัดสินประหารชาย 24 ปี จากกลุ่มชาติพันธุ์ “ว้า” ในความผิดผู้ก่อการร้าย วางระเบิดใกล้ที่ชุมนุมของกลุ่มผู้สนับสนุนรัฐบาลทหารเป็นเหตุให้มีคนตาย 4 คน ได้รับบาดเจ็บสามสิบคน
สื่อตะวันตกและเกรียนคีย์บอร์ดฝ่ายต่อต้านรัฐบาลทหารเมียนมา ฉวยโอกาสประโคมข่าวโจมตีรัฐบาลทหารเมียนมา ว่า ใช้ศาลทหารประหารชีวิตฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล
วิทยุเอเชียเสรีหรือ RFA ประโคมข่าวครึกโครม และสัมภาษณ์ พลตรีซอ มิน ตุน โฆษกรัฐบาลทหารเมียนมาว่าขั้นตอนต่อไปจะทำอย่างไรกับจำเลยที่ถูกศาลตัดสินประหารชีวิต ซอ มิน ตุน ตอบว่า“เมื่อศาลอุทธรณ์ตัดสินไปแล้วถือว่าสิ้นสุด ขั้นตอนต่อไปต้องดำเนินการตามกระบวนการ”
RFA และสื่อตะวันตกเลยเหมารวมเอาว่า รัฐบาลทหารเตรียมการประหารชีวิตอดีต สส.และนักเคลื่อนไหวทางการอีกไม่กี่วันข้างหน้า
นักวิเคราะห์การเมืองและผู้สื่อชาวเมียนมากล่าวว่า สหรัฐอเมริกา#มีวาระซ่อนเร้น เบื้องหน้าแสร้งทำเป็นว่าต้องการช่วยชีวิตอดีตสส.และนักเคลื่อนไหวทางการเมืองในเครือข่ายของอเมริกา แต่เบื้องหลังทางการเมืองระหว่างประเทศคือ ดิสเครดิตรัฐบาลทหารเพื่อผลักดันให้นานาชาติรับรองรัฐบาลเงาหรือ (National Unity Government= NUG) ของนางออง ซาน ซู จี ให้เป็นรัฐบาลจากการเลือกตั้งถูกต้องตามกฎหมาย
“สหรัฐฯรู้ดีว่าทหารเมียนมา ไม่ฆ่านักโทษประหารมานานแล้ว ตั้งแต่ปี 2525 จนถึงวันนี้มีนักโทษประหารกว่า 300 คน ไม่มีใครถูกประหารแม้แต่คนเดียว”วิน ออง ซอ นักวิเคราะห์การเมืองในเมียนมากล่าวกับแนวหน้า และเสริมว่ากระบวนการยุติธรรมในเมียนมาก็คล้ายกับในเมืองไทย คนที่ถูกตัดสินประหารชีวิตติดคุกไม่นาน ก็ได้รับการลดโทษ หรือไม่ก็นิรโทษกรรมกันไป นักโทษการเมืองบางคนถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิต แต่ติดคุกจริงไม่กี่ปีก็ได้รับอิสระออกมาเคลื่อนไหวได้...
“..แต่กระบวนการยุติธรรมของประเทศไทยกับในเมียนมาเวลานี้แตกต่างกันตรงที่ประเทศไทยปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย แต่ในเมียนมาปกครองแบบรัฏฐาธิปัตย์ ดังนั้นการลดโทษหรืออภัยโทษประเทศเมียนมาทำได้ง่ายกว่าในประเทศไทย เพราะอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดอยู่ในมือของผู้ถืออำนาจรัฏฐาธิปัตย์..”
เขายกตัวอย่างให้เห็นกรณีของนางออง ซาน ซู จี ที่ถูกฟ้อง 11 คดี ทั้งฝืนมาตรการป้องกันโควิด ใช้วิทยุสื่อสารผิดกฎหมาย สมคบกันรับสินบน ทุจริตคอร์รัปชั่น ความผิดละเมิดกฎหมายความมั่นคงภายในโดยการขายความลับทางราชการ สมคบกับต่างชาติและ อื่นๆ อีกหลายคดี
“เวลานี้ศาลตัดสินแล้วสองคดีศาลสั่งจำคุกนางออง ซาน ซู จี ไปแล้ว 11 ปี แต่วันนี้นางออง ซาน ซู จี ยังพักอาศัยอยู่ในบ้านพักส่วนตัวห้อมล้อมด้วยสมุนบริวารเหมือนตอนเป็นผู้นำรัฐบาลทุกอย่าง นางยังไม่ได้ย่างเข้าคุกแม้แต่ก้าวเดียว” มิน ออง ซอ กล่าว
นักวิเคราะห์การเมือง และ ผู้สื่อข่าวชาวเมียนมา ทำนายเหมือนกันว่า“หลังจากการเลือกตั้งทั่วไปซึ่งคาดหมายกันว่าจะมีขึ้นในเดือนสิงหาคมปีหน้า (2566) เมื่อมีรัฐบาลใหม่ นางออง ซาน ซู จี และใครต่อใครก็ได้รับอภัยโทษหรือนิรโทษกรรม และ มีอิสระเพราะถึงเวลานั้นนางคงวางมือทางการเมืองแล้ว”
สื่อมวลชนและนักวิเคราะห์ทางการเมืองกล่าวว่า รัฐบาลเงาเมียนมาและกองกำลังพิทักษ์ประชาชนคือหุ่นเชิดของอเมริกา วอชิงตันจึงพยายามทุกวิถีทางทำลายความน่าเชื่อถือรัฐบาลทหารและผลักดันให้หุ่นเชิดของตัวเองกลับมาเป็นรัฐบาลเพื่อได้คานอำนาจกับจีนในเมียนมาตามแผนอินโด-แปซิฟิกของอเมริกาหรือนาโตสอง
“แต่ความพยายามของสหรัฐฯในเมียนมา มีทีท่าว่าจะล้มเหลวเหมือนในยูเครน” นักวิเคราะห์การเมืองชาวเมียนมากล่าวสรุป
สุทิน วรรณบวร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี