ที่ผ่านมา เศรษฐกิจทั่วโลกทรุดหนัก เศรษฐกิจไทยก็เช่นเดียวกัน จากผลกระทบโควิด-19 และต่อเนื่องด้วยผลพวงจากวิกฤตพลังงาน อันสืบเนื่องจากปัญหารัสเซีย-ยูเครน
1. นายทักษิณ ชินวัตร นักโทษหนีคดีโกง ที่กำลังดิ้นรนอยากจะกลับไทยโดยไม่ต้องรับโทษจำคุก ต้องการให้ลูกสาวและพรรคการเมืองลิ่วล้อของตนขึ้นกุมอำนาจรัฐ พยายามปั่นกระแสลบราวกับว่าเศรษฐกิจไทยไร้อนาคต รัฐบาลประยุทธ์บริหารไม่ไหวแล้ว จะต้องเปลี่ยนให้พรรคพวกของเขาได้เป็นผู้บริหารประเทศ
อ้างว่า ประเทศไทยวิกฤตเศรษฐกิจหนักกว่าประเทศอื่นๆ เพราะเราไม่ได้เตรียมการสำหรับสิ่งที่จะโถมเข้ามาเลย วิกฤตโลกตอนนี้เหมือนทะเลกำลังคลั่ง แต่เรามีประยุทธ์เป็นกัปตัน ไม่รู้ชะตากรรมจะคว่ำเมื่อไหร่เพราะอะไร เพราะไม่มียุทธศาสตร์อะไรเลยในการที่จะแก้ปัญหา ฯลฯ
น่าคิดว่า นายทักษิณคงจะหลอกได้แค่ขี้ข้า สาวก ลิ่วล้อบริวาร หรือคนที่ไม่ได้ติดตามข่าวสถานการณ์เศรษฐกิจโลก สถานการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจไทยจริงๆ รวมถึงการพัฒนา การเปลี่ยนแปลงในหลายๆ ด้าน หลายๆ โครงการ ที่เกิดขึ้นในยุครัฐบาลปัจจุบัน
2. ความจริง ปัญหาเศรษฐกิจในโลก หนักหน่วงรุนแรงมาก
เงินเฟ้อ ข้าวของแพง ราคาพลังงานพุ่ง เผชิญปัญหาทุกประเทศทั่วโลก
แม้แต่ สหรัฐ อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมนี ฯลฯ ราคาค่าพลังงานพุ่งกระฉูด เงินเฟ้อสูงสุดในรอบหลายสิบปี
ยกตัวอย่างในเอเชีย อินเดีย ศรีลังกา หรือแม้แต่ สปป.ลาว เผชิญปัญหาหนักหน่วง
ศรีลังกา ผิดนัดชำระหนี้ต่างประเทศไปแล้ว เศรษฐกิจล่มสลายไปแล้ว
ล่าสุด สปป.ลาว กำลังประสบปัญหาขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงรุนแรง อาหารแพง และหนี้สินเพิ่มขึ้น กระทั่งมูดี้ส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส ได้ปรับลดอันดับเครดิตสปป.ลาว จาก Caa2 เป็น Caa3 ซึ่งอยู่ในกลุ่ม non-investment grade โดยระบุว่า มีความเสี่ยงผิดนัดชำระหนี้ที่สูงเนื่องจากการกำกับดูแลที่อ่อนแอ ภาระหนี้ที่สูงมาก และทุนสำรองอัตราแลกเปลี่ยนต่างประเทศที่ไม่เพียงพอสำหรับหนี้ต่างประเทศเมื่อครบกำหนดชำระ
3. สถานการณ์จริงของประเทศไทย
ล่าสุด Fitch Ratings คงอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Sovereign Credit Rating) ที่ BBB+ และคงมุมมองความน่าเชื่อถือของประเทศไทยอยู่ในระดับมีเสถียรภาพ (Stable Outlook)
โดย Fitch มองว่า ภาคการคลังสาธารณะ (Public Finance) มีความเข้มแข็ง เป็นผลจากการบริหารจัดการทางการคลังอย่างรอบคอบ โดยมีกรอบนโยบายเศรษฐกิจมหภาคที่แข็งแกร่ง สำหรับสัดส่วนหนี้ภาครัฐบาล (General Government Debt) ต่อ GDP ของประเทศไทยปี 2565 คาดว่า จะเพิ่มขึ้นอยู่ที่ร้อยละ 55.4 ต่อ GDP ซึ่งอยู่ในระดับค่ากลางเดียวกับกลุ่มประเทศที่มีอันดับความน่าเชื่อถือในระดับเดียวกัน (Peers) โดยจะสูงขึ้นเป็นร้อยละ 56.6 ต่อ GDP ในปี 2569 อย่างไรก็ดีรัฐบาลไทยจะสามารถบริหารจัดการความเสี่ยงหนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้นได้เป็นอย่างดี เนื่องจากมีแนวทางการบริหารจัดการทางการคลังอย่างรอบคอบและมีหนี้สาธารณะส่วนใหญ่เป็นสกุลเงินบาท ประกอบกับมีตลาดทุนในประเทศที่มั่นคง
Fitch คาดว่า เศรษฐกิจของประเทศไทยจะขยายตัวที่ร้อยละ 4.5 เนื่องจากการฟื้นตัวของอุปสงค์ในประเทศและการกลับมาของนักท่องเที่ยวซึ่งคาดว่าจะเพิ่มขึ้นจาก 6.5 ล้านคนในปี 2565 เป็น 22 ล้านคนในปี 2566
ภาคการเงินต่างประเทศ (External Finance) ยังคงมีความแข็งแกร่ง โดยมีทุนสำรองระหว่างประเทศอยู่ในระดับสูงที่เพียงพอสำหรับใช้จ่ายถึง 7.8 เดือน ซึ่งอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับค่ากลางของกลุ่มประเทศที่มีอันดับความน่าเชื่อถือในระดับเดียวกับ (BBB Peers) ที่ 5.6 เดือน
Fitch คาดว่า ปี 2565 ดุลบัญชีเดินสะพัดของประเทศไทยจะขาดดุลร้อยละ 1.8 ต่อ GDP ซึ่งลดลงจากร้อยละ 2.1 ต่อ GDP ในปี 2564และจะกลับมาเกินดุลที่ร้อยละ 1.0 ต่อ GDP และร้อยละ 2.8 ต่อ GDP ในปี 2566 และปี 2567 ตามลำดับ จากภาคการท่องเที่ยวที่จะฟื้นตัวมากยิ่งขึ้น
4. เศรษฐกิจไทยปี 2565 มีโอกาสขยายตัวสูงกว่าที่ประมาณการไว้
เมื่อวันที่ 22 มิ.ย.2565 ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เผยแพร่รายงานการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน ครั้งที่ 3/2565 วันที่ 2 และ 8 มิ.ย. 2565
กรรมการที่เข้าร่วมประชุม ได้แก่ นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ (ประธาน) นายเมธี สุภาพงษ์ (รองประธาน) นางสาววชิรา อารมณ์ดี นายคณิศ แสงสุพรรณ นายรพี สุจริตกุล นายสมชัย จิตสุชน นายสุภัค ศิวะรักษ์ ล้วนเป็นผู้มีความรู้เชี่ยวชาญ เป็นที่ยอมรับ
ระบุว่า เศรษฐกิจไทยปี 2565 มีโอกาสขยายตัวสูงกว่าที่ประมาณการไว้จากการฟื้นตัวของอุปสงค์ในประเทศและภาคการท่องเที่ยวที่อาจดีกว่าที่คาด อีกทั้ง การระบาดของ COVID-19 กระทบการฟื้นตัวเศรษฐกิจจำกัดตามที่ประเมินไว้
กนง.ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่องในปี 2565และ 2566 โดยคาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 3.3 และ 4.2 ตามลำดับ เนื่องจาก
(1) การฟื้นตัวของการบริโภคภาคเอกชนโดยเฉพาะในหมวดบริการ สะท้อนจากข้อมูลการบริโภคภาคเอกชนในไตรมาสที่ 1 ปี 2565 ที่ฟื้นตัวดีกว่าคาดมาก ประกอบกับอุปสงค์คงค้างจากช่วงก่อนหน้า (pent-up demand) ในกลุ่มผู้มีรายได้สูงที่จะช่วยเพิ่มการบริโภคภาคเอกชนในระยะต่อไป
(2) จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จากการเปิดประเทศของไทยและต่างประเทศที่เร็วขึ้น โดยไทยได้ผ่อนคลายมาตรการต่างๆ เพื่อเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ อาทิ การยกเลิกระบบ Test & Go ตั้งแต่ 1 พ.ค. 2565 และมีแผนจะยกเลิกระบบ Thailand Pass สำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติในเดือนก.ค. 2565
(3) ตลาดแรงงานและรายได้ครัวเรือน มีสัญญาณปรับดีขึ้น ตามการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการระบาดและกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง โดยจำนวนผู้ว่างงานและเสมือนว่างงานปรับลดลงเข้าใกล้ระดับก่อนการระบาด COVID-19 แต่ต้องติดตามการกลับเข้าสู่ตลาดแรงงานของผู้ออกนอกกำลังแรงงานหลังการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการระบาดในประเทศมีความชัดเจนขึ้น
อย่างไรก็ตาม กนง. ประเมินว่า อัตราเงินเฟ้อมีความเสี่ยงที่จะปรับเพิ่มสูงขึ้นกว่าที่ประเมินไว้ โดยเฉพาะจาก (1) ความไม่แน่นอนของราคาน้ำมันในระยะข้างหน้า โดยราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกอาจคงตัวอยู่ในระดับสูงมากหรือนานกว่าคาด ผลจากมาตรการคว่ำบาตรด้านพลังงานต่อรัสเซียที่จะอาจยาวนานกว่าคาด รวมถึงอุปสงค์น้ำมันที่อาจปรับเพิ่มขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก และ (2) การส่งผ่านต้นทุนภายในประเทศ โดยผู้ประกอบการอาจส่งผ่านต้นทุนมากและเร็วกว่าที่คาด จากภาวะที่ต้นทุนหลายด้านสูงขึ้นพร้อมกันทั้งค่าวัตถุดิบ ค่าพลังงาน และค่าแรง ดังนั้น กนง.จึงส่งสัญญาณการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างค่อยเป็นค่อยไปและเอื้อให้เศรษฐกิจสามารถปรับตัวได้อย่างราบรื่น
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี