แม้ยังไม่มีทิศทางที่แน่นอน แต่สถานการณ์การเมืองไทยยังร้อนฉ่า แย่งชิงความได้เปรียบกันจากร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ยังคั่งค้างอยู่ระหว่างการประชุมพิจารณาของรัฐสภาหลังเมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมาเกิดข้อโต้แย้งในประเด็นที่มาของสส.พึงมี ที่มีการแก้ไขมาตรา 23 ในร่างพ.ร.ป.ฉบับนี้ตามข้อเสนอของกรรมาธิการเสียงข้างน้อยอย่างนายแพทย์ระวี มาศฉมาดล สส.ระบบบัญชีรายชื่อพรรคพลังธรรมใหม่ โดยให้ใช้จำนวนสส.ทั้งสภาเป็นตัวหารบัตรเลือกตั้งใบที่สอง ซึ่งเลือกสส.ในระบบบัญชีรายชื่อแทนการใช้จำนวนสส.ระบบบัญชีรายชื่อเป็นตัวหาร
การคำนวณสส.บัญชีรายชื่อของแต่ละพรรคแยกออกมาคำนวณเฉพาะในช่องจำนวนเต็ม 100 ของสส.บัญชีรายชื่อที่กำหนดให้มีเท่านั้น จึงต้องเอาตัวเลขสส.ระบบบัญชีรายชื่อ 100 คนมาหารเท่านั้น จะไปเอา 500 ซึ่งเป็นจำนวนรวมของสส.ทั้ง 2 ระบบมาหารเพื่อหาจำนวนยอดรวมของสส.ทั้ง 2 ประเภทที่แต่ละพรรคจะได้รับจัดสรร หรือที่เรียกว่า “สส.พึงมี” แล้วหักจำนวนสส.เขตออก เติมสส.ระบบบัญชีรายชื่อเข้าไปให้ครบ ตามวิธีการของระบบสัดส่วนผสมหรือระบบเยอรมัน เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ จริงๆระบบเลือกตั้งนี้ ประเทศไทยเคยใช้มาก่อน
ระบบเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญ 2560 เดิมก็เป็นระบบสัดส่วนผสมแบบบัตรใบเดียว จึงเรียกเสียใหม่ว่าระบบจัดสรรปันส่วนผสม ดังนั้นจะหารด้วย 100 หรือ หารด้วย 500 ก็เหมือนกัน มีจุดเด่นต่างกันเล็กน้อย เพราะอย่างหนึ่งจุดเด่นคือได้สัดส่วนสส.ที่ถูกต้องตามที่ประชาชนเลือก ส่วนอีกระบบหนึ่งคือทุกคะแนนเสียงไม่ตกน้ำ
เรื่องนี้ยังหาทางลงไม่ได้ เพราะผลประโยชน์ของพรรคการเมืองของนักเลือกตั้งมันค้ำคอที่ต้องฟาดฟันจนเกินกว่าจะมีเวลาไปดูแลผลประโยชน์และแก้ไขความเดือดร้อนของประชาชนทีเดียว ถือเป็นเผือกร้อนอีกเรื่องของรัฐบาลที่ต้องประสานทุกอย่างให้ลงตัว เพื่อการแตกแบงก์ต่อสู้ในการเลือกตั้งครั้งใหม่ในปีหน้า เผือกร้อนที่สองก็น่าต่อเนื่องมาจากร่างพ.ร.ป.การเลือกตั้งสส.ที่ยังไม่ตกผลึก แต่อายุของสส.ชุดนี้จะครบวาระในวันที่ 24 มีนาคม 2566 หรือในอีก 8 เดือนข้างหน้า และรัฐธรรมนูญบัญญัติให้มีการจัดการเลือกตั้งใหม่ภายใน 45 วัน
จากนั้น “ลุงตู่-พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีน่าจะถูกพรรคร่วมฝ่ายค้านยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวาระการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีครบ 8 ปี ตามบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ มาตรา 158 วรรคสี่ และมาตรา 264 แล้ว ตั้งแต่วันที่ 24 สิงหาคม หากยังคงดำรงตำแหน่งอยู่หลังจากวันนั้นถือว่าขาดคุณสมบัติ
นี่ยังไม่รวมถึงปัญหาการพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2566 ในวาระที่ 2 และ 3 ที่อาจมีเรื่องของกล้วยเข้ามาเกี่ยวข้องอีกครั้ง ปิดท้ายความเหนื่อยยากของ “ลุงตู่” ด้วยการประชุมสุดยอดผู้นำเอเปกในเดือนพฤศจิกายนปีนี้ด้วย ยังไม่รวมการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญอีกอย่างน้อย 5 ฉบับที่มีฉบับหนึ่งเสนอตัดมาตรา 272 ตัดอำนาจวุฒิสภาร่วมโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี
ทั้งหลายทั้งปวงคือขวากหนามสองแพร่งสามแพร่งที่นายกรัฐมนตรีต้องใช้ความกล้าหาญและชาญลาดในการพิจารณาเลือกเดินให้ได้เปรียบ และกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง โดยไม่เกิดแลนด์สไลด์จนเปลี่ยนอำนาจและปล่อยให้สัมภเวสีกลับประเทศมาสร้างหายนะ
สองแพร่งที่ต้องเลือกยุบสภาหรืออยู่ครบวาระ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี