ความลนลานของคนใน “พรรคพลังประชารัฐ” ที่ตลอดเวลาที่ผ่านมา อิงแอบชัยชนะไว้กับกติกาและกระแสนิยมในตัว พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เริ่มแสดงออกชัดเจนมากขึ้น เมื่อการเลือกตั้งใหม่ ใกล้จะเกิด

พวก สส.นกแล บางคน ก็อยากจะคั่วเก้าอี้รัฐมนตรีให้เป็น “บุญตูด” ก่อนจะหมดวาสนา เลยหาทางยุ
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐที่กำลังรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรีอยู่ในเวลานี้ ให้“ตอบสนอง” ความต้องการส่วนตัวของพวกเขา จนลืมคิด หรือไม่อาจจะ “พร่องมารยาท-ขาดสติปัญญา” ที่จะคิดถึง“ความฉิบหายในภาพใหญ่” ว่าจะเกิดอะไรตามมา จึงพ่นวาจาที่ไม่ควรพูดออกมา จนเกิดเป็นวิวาทะให้ “ผู้ใหญ่” ต้องหนักใจเพราะเด็กปากเสีย

มาดูกรณีตัวอย่างกันครับ

1) นายสัณหพจน์ สุขศรีเมือง สส.นครศรีธรรมราช พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวว่า สมควรอย่างยิ่งที่จะปรับ ครม. เพราะถือเป็นช่วงสุดท้ายที่จะปรับรูปแบบของการบริหารใหม่ ควรกระจายสัดส่วนของรัฐมนตรีให้ทั่วถึงเพื่อให้ครอบคลุมการทำศึกยุทธหัตถีในการเลือกตั้งครั้งหน้าเพราะตอนนี้รัฐมนตรีหลุดไปหลายตำแหน่ง คิดว่าหากปรับ ครม.เสร็จ ในหลายภาคส่วนจะดีขึ้น ทั้งมุมของด้านการเมือง สัดส่วนของพรรคการเมือง การโยกย้ายของคนในพรรคการเมืองก็จะนิ่งขึ้น

นายสัณหพจน์กล่าวว่า ในส่วนของพื้นที่ภาคใต้ในนามของพรรค พปชร.ก็ควรมีตำแหน่งรัฐมนตรี ไม่ใช่ปล่อยโควตาให้กับพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) หรือพรรคภูมิใจไทย (ภท.) พื้นที่ภาคใต้มีแต่รัฐมนตรีของ ปชป.และ ภท. แต่ในส่วนของ พปชร.กลับไม่มี จะเอาอะไรไปชนกับเขา ถึงจะอยู่ได้สัก 2-3 เดือน อย่างน้อยก็เป็นโปรไฟล์ให้คนใต้ชื่นใจว่าไม่ได้ถูกมองข้ามความสำคัญของพี่น้องชาวภาคใต้ ลองดูภาคอื่น
เช่น ภาคตะวันออก มีตำแหน่งรัฐมนตรีไปกองไว้ตั้งกี่คน ในความเห็นส่วนตัว เห็นสมควรอย่างยิ่ง ไม่ใช่เห็นควรธรรมดา ที่จะปรับ ครม.เพื่อให้เกิดความสมดุลในการบริหาร

เมื่อถามว่าในส่วนของ สส.พรรค พปชร.อยากได้สัดส่วนรัฐมนตรีกระทรวงไหนเป็นพิเศษหรือไม่ เพื่อที่จะต่อยอดความนิยมในพื้นที่ นายสัณหพจน์กล่าวว่า จริงๆ ในส่วนของพื้นที่ภาคใต้ ส่วนที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และกระทรวงคมนาคม แต่หากกระทรวงคมนาคมไม่ได้ก็ไม่เป็นอะไร แต่หากเป็นการพัฒนาให้เกิดรายได้กับประชาชนรากหญ้าขึ้นมา ต้องดูที่กระทรวงเกษตรฯ กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา

เมื่อถามย้ำว่าโควตารัฐมนตรีเดิมของพรรค พปชร.ที่ว่าง 2 ที่นั่ง จะมีสัดส่วนของ สส.ภาคใต้ พรรค พปชร.
เข้าไปรับตำแหน่งหรือไม่ นายสัณหพจน์กล่าวว่า เห็น พล.อ.ประวิตร มีเปรยๆ ถ้ามีควรจะมีในสัดส่วนของภาคใต้ในการปรับ ครม.ครั้งนี้

เมื่อถามว่าในสัดส่วนรัฐมนตรีที่อาจว่างลงของพรรคร่วมรัฐบาลอื่นๆ จะปรับให้เป็นโควตาของพรรคเดิม หรือปรับให้พรรค พปชร. นายสัณหพจน์กล่าวว่า สัดส่วนหายไปแล้ว สส.ก็หายไปเยอะ พรรค พปชร.ก็ต้องเอาตำแหน่งรัฐมนตรีกลับมา เพื่อให้สัดส่วนลงมาที่พรรคที่มีจำนวน สส.เพิ่มขึ้น บางครั้งหายไปตั้งหลายคน จะหมดวาระอยู่แล้ว จำเป็นต้องตัดสินใจให้เด็ดขาด

เมื่อถามว่าเมื่อเช็คเสียงในพื้นที่แล้วมั่นใจหรือไม่ว่ากระแสตอบรับดีในการเลือกตั้งครั้งหน้า นายสัณหพจน์กล่าวว่า ไม่ได้กังวล ยิ่งเป็นบัตร 2 ใบถ้าเราทำดี ลงพื้นที่ตลอด ไม่น่าห่วง

2) ประเด็นของสัณหพจน์ คือ การต่อรอง หวังดึงเก้าอี้รัฐมนตรีมาให้ สส.ใต้ ซึ่งจะหมายถึงตัวเขาเองหรือคนอื่นๆ ก็ไม่ทราบได้ ซึ่งต้องถามว่า ที่ผ่านมา “ทำผลงานอะไร?” นอกจากได้ สส.หลายคน ซึ่งก็ต้องวิเคราะห์อีกว่า เป็นผลจากการชู พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกฯ หรือเป็น“ความนิยมของตัวพวกเขา” หากสัณหพจน์จะมีทั้งสติและมารยาทสมดุลกัน ก็ควรเรียกร้องเพียงเก้าอี้รัฐมนตรีในโควตาของพรรคพลังประชารัฐ ที่หลังปลด ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า กับนางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ แล้ว “ลุงตู่” ก็ไม่เคยคืนมาให้ แต่ดันพาดพิงไปถึงเก้าอี้ของรัฐมนตรีพรรมร่วมรัฐบาล ซึ่งผ่านการ “ตกลง” และ “ทำงานร่วมกันมา” จนเกือบจะครบวาระอยู่แล้ว ปรากฏการณ์ “ตบปาก” จึงมีให้เห็น

3) นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีนายสัณหพจน์ สุขศรีเมือง สส.นครศรีธรรมราช พรรคพลังประชารัฐ เสนอให้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะรักษาราชการนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ดึงกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงพาณิชย์ไปอยู่ในความดูแลของพรรคพลังประชารัฐ ว่า ความสำเร็จที่เกิดจากการทำงานของรัฐมนตรีในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ ถือได้ว่าประสบผลสำเร็จ เกิดประโยชน์ต่อประชาชนและส่วนรวมเป็นอย่างมาก ทุกนโยบายที่ประกาศทำได้จริงและสำเร็จ

เงื่อนไขในการเข้าร่วมรัฐบาล ข้อหนึ่งที่สำคัญคือการผลักดันโครงการประกันรายได้ ช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นและเป็นผลสำเร็จ พรรคทำงานอย่างเป็นระบบมีกระทรวงพาณิชย์เข้ามาช่วยในเรื่องการตลาดให้กับพี่น้องเกษตรกร คือ เกษตรผลิตพาณิชย์ตลาด นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ ทำหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์ ประชาชนพี่น้องเกษตรกรได้ประโยชน์

“ที่นายสัณหพจน์ออกมาพูดจึงไม่ค่อยให้ความสำคัญ หลักการคนเราเวลาคำพูดออกจากปากต้องคิดตรึกตรองอย่างมีเหตุมีผล มีวุฒิภาวะ ถ้าขยับปากอย่างเดียวไม่ผ่านหลักคิดดังกล่าวก็ให้ประชาชนให้คำตอบ ส่วนพล.อ.ประวิตร ถ้าจะทำตามข้อเสนอของนายสัณหพจน์ที่อยากให้ปรับ 2 กระทรวงดังกล่าวก็ให้รีบแจ้งมา” โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ระบุ

4) นายชัยชนะ เดชเดโช สส.นครศรีธรรมราช และรองเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่ นายสัณหพจน์ สุขศรีเมือง สส.นครศรีธรรมราช พรรคพลังประชารัฐ เสนอให้พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ดึง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงพาณิชย์ไปอยู่ในความดูแลของพรรคพลังประชารัฐ ว่า

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ สส.ภาคใต้ ของพรรคพลังประชารัฐ ออกมาพูดจาดูแคลนพรรคประชาธิปัตย์ เพราะเนื่องจากว่า สส.เหล่านี้รู้ดีว่า สาเหตุหลักที่ทำให้ได้รับการเลือกตั้งนั้น มาจากความนิยมของประชาชนต่อพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่ใช่มาจากความนิยมส่วนตัว

ดังนั้น วิธีการสร้างความนิยมให้กับตัวเองเพื่อให้ได้รับการเลือกตั้งกลับมานั้น คือการพยายามด้อยค่าคู่แข่งในพื้นที่ เพื่อสร้างภาพว่า พรรคการเมืองที่คิดว่าเป็นคู่แข่งไม่มีผลงาน และไม่สามารถทำให้ชาวบ้านมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นได้ดังเช่น ในเรื่องกรณีที่มีปัญหาราคาสินค้าแพง และราคาผลผลิตการเกษตรตกต่ำนั้น ก็โยนบาปมาให้พรรคประชาธิปัตย์ ว่าไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ ทั้งๆ ที่ชาวบ้านต่างเห็นว่า รัฐมนตรีของพรรคประชาธิปัตย์ สามารถแก้ปัญหาได้เป็นที่พึงพอใจของประชาชน

ดังนั้น กรณีของนายสัณหพจน์ ที่ฉวยโอกาสตอนที่มีกระแสข่าวในการปรับคณะรัฐมนตรี โดยเรียกร้องให้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ใช้อำนาจในฐานะรักษาการนายกรัฐมนตรี ปรับเอาตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ออกจากการดูแลของพรรคประชาธิปัตย์นั้น ต้องถามนายสัณหพจน์ ว่า ที่ออกมาเรียกร้องเรื่องนี้ เพื่อหวังผลในการเลือกตั้งใช่หรือไม่ เพราะคงทราบดีว่า ตำแหน่งสส. ธรรมดา ไม่สามารถโน้มน้าวใจให้ประชาชนกลับมาสนับสนุนได้ ดังนั้น จึงต้องการฉวยโอกาสเรียกร้องตำแหน่งและด้อยค่าพรรคร่วมรัฐบาลไปพร้อมๆ กัน ดังนั้น ตนเห็นว่านายสัณหพจน์ จะสร้างปัญหาหนักใจให้กับพล.อ.ประวิตร อีกทำไม เพราะนอกจากปัญหาของประชาชน โดยเฉพาะเรื่องอุทกภัยในหลายพื้นที่ ที่พล.อ.ประวิตร จะต้องตัดสินใจแล้ว หากยังเอาเรื่องที่ทำให้ความสัมพันธ์ของพรรคร่วมรัฐบาลต้องกินแหนงแคลงใจไปรบกวนอีก ถือได้ว่า นายสัณหพจน์ เป็นนักการเมืองที่มุ่งแต่ผลประโยชน์ของตัวเอง โดยไม่สนใจความรู้สึกของพรรคร่วมรัฐบาลที่ทำงานร่วมกันมาตลอดจนกระทั่งจะครบเทอมในช่วงต้นปีหน้าอีกด้วย

“ผมเห็นว่า หากผู้ใหญ่ในรัฐบาล มีแนวคิดจะยึดคืนตำแหน่งรัฐมนตรีสัดส่วนพรรคประชาธิปัตย์ ตามที่นายสัณหพจน์เสนอมานั้น ก็ขอให้ทบทวนความคิดดีๆ เนื่องจากพรรคประชาธิปัตย์ไม่เคยกลัวและไม่เคยขอร้องในเรื่องนี้ รวมทั้ง พรรคประชาธิปัตย์ มีมารยาททางการเมืองพอที่จะไม่ก้าวก่ายในการคัดเลือกตัวบุคคลที่จะมาทำหน้าที่รัฐมนตรีของแต่ละพรรค เพราะฉะนั้น หากเป็นเช่นนั้นจริง แกนนำรัฐบาลและพรรคพลังประชารัฐเปรียบเสมือนศรีธนญชัย หลอกได้แม้กระทั่งคนที่มีบุญคุณที่ให้โอกาส สนับสนุนกันมา ก็ถือว่าที่ผ่านมาอยู่ร่วมกันมามีความรักแค่เหมือนเสือกอด คือมีความระแวงต่อกัน เพราะฉะนั้น ผมจึงขอให้ พล.อ.ประวิตร ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐช่วยอบรมมารยาทในการทำงานร่วมกันระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลให้กับนายสัณหพจน์ และ สส.ภาคใต้ของพรรคฯ คนอื่นๆ เพราะที่ผ่านมา มีพฤติกรรมที่ล้ำเส้นไปมาก จนกระทั่ง ผมอยากจะนำเสนอให้พรรคประชาธิปัตย์ ถอนตัวออกจากรัฐบาล เพราะรับไม่ได้กับพฤติกรรมดูถูกดูแคลนและไม่ให้เกียรติกันของ สส. พรรคพลังประชารัฐ ซึ่งปรากฏผ่านสื่อมวลชนในหลายๆ ครั้งที่ผ่านมาด้วย” นายชัยชนะกล่าว

5) พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี รักษาการนายกฯ ให้สัมภาษณ์ภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงบรรยากาศการประชุมครม. ว่า “ไม่มีอะไร เรียบร้อยดี” เมื่อถามถึงกระแสข่าวการเมืองที่วุ่นวายในขณะนี้ พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า “ไม่มีอะไร” เมื่อถามว่า จะมีการปรับครม.ในช่วงเป็นที่เป็นรักษาราชการแทนนายกฯ หรือไม่ พล.อ.ประวิตร ตอบว่า “ไม่มีการปรับครม.” เมื่อถามถึงกรณี สส.พรรคประชาธิปัตย์ขู่ถอนตัวจากกระแสข่าวสส.ภาคใต้ พรรคพลังประชารัฐ เสนอให้ปรับ ครม. โดยให้ริบโควตากระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงพาณิชย์ พล.อ.ประวิตร กล่าวย้อนว่า “ก็ไปถาม สส.ใต้ดู เพราะผมไม่ได้พูด” เมื่อถามย้ำว่า จะปรับ ครม.หรือไม่ช่วงนี้ พล.อ.ประวิตร กล่าวย้ำว่า “ปรับทำไมยังทำงานได้อยู่”

สรุป : ในความเห็นผม พล.อ.ประวิตร ไม่ฉวยโอกาสปรับ ครม. แน่ๆ เพราะเป็นการ “หักหน้า” พล.อ.ประยุทธ์ อย่างรุนแรง ซึ่งไม่เป็นผลดีในทางการเมือง การปรับ ครม. ไม่สำคัญเท่า ปรับยุทธศาสตร์ ว่าจะใช่รัฐมนตรีที่มีอยู่ในปัจจุบันให้เกิด “คะแนนนิยม” หรือเกิด “ความได้เปรียบเสียเปรียบทางการเมือง” อย่างไรมากกว่า เพราะปรับ ครม. ก็แค่เอาใจพวกอยากเป็นรัฐมนตรี หรือพวกที่อาจจะย้ายพรรค ในทางการเมืองแล้ว สู้กดดันให้คนพวกนั้นสร้างผลงานในการเลือกตั้งที่จะมาถึง แล้ว “สัญญาว่าจะให้” เป็นรัฐมนตรีครั้งหน้าย่อมดีกว่า ในยุทธศาสตร์การปกครองก๊กก๊วนต่างๆ ยิ่งสส.ภาคใต้ของพรรคพลังประชารัฐด้วยแล้ว ไม่ได้มีอะไรโดดเด่นมีแต่ความกล้าที่จะเสนอหน้ามาต่อรองเท่านั้น คนพวกนี้ไม่มีปัญญา ไม่มีราคา แม้แต่จะย้ายไปอยู่พรรคอื่นเสียด้วยซ้ำ

คำถามคือ เอาความกล้าที่ไหน มาพูดให้ผู้ใหญ่ลำบากใจ และเสถียรภาพของรัฐบาลบรรลัยได้ขนาดนี้!!