คำสั่งของศาลรัฐธรรมนูญ ส่งผลให้ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ต้องพักการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเป็นการชั่วคราว ส่งผลให้สาธารณชนหันมาจับตาบทบาท และความเคลื่อนไหวของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ยังรั้งตำแหน่ง รมว.กลาโหม เพียงตำแหน่งเดียวอยู่ ซึ่งที่ผ่านมาก็สามารถปฏิบัติหน้าที่ให้กับชาติบ้านเมืองในตำแหน่งนี้ ได้อย่างเหมาะสม และสง่างาม
ในขณะเดียวกัน เมื่อ พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีรักษาการ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็จำเป็นที่จะต้องวางตัวให้ไม่มีภาพว่าเข้าไปก้าวก่าย หรือล้ำเส้นบทบาท และการทำหน้าที่ของ พลเอก ประวิตร ซึ่งในทางเดียวกัน การประชุมคณะรัฐมนตรีครั้งแรกภายใต้การนำพาของพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ (ฐานะผู้รักษาการในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี) พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ ก็ได้ปล่อยให้เก้าอี้นายกรัฐมนตรีว่างเว้นไว้ คือไม่เข้าไปนั่งด้วยตนเอง ซึ่งถือเป็นการตัดสินใจ และวางตัวที่สง่างาม
อย่างไรก็ตาม เพียงไม่กี่วันต่อมา กลับมีภาพการพบปะกันระหว่างพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา กับพลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีมหาดไทย และนายอนุทิน ชาญวีรกุล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีสาธารณสุข หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ออกมาสู่สายตาสาธารณชน ซึ่งก็ดูเสมือนว่ายังทำตัวเป็นนายกรัฐมนตรี หรือหัวหน้ารัฐบาล โดยการเรียกรัฐมนตรีอื่นๆ มาพบปะหารือ
สังคมจึงเกิดคำถามว่า การพบปะของทั้ง 3 ท่านที่กระทรวงกลาโหมนั้นมีความเหมาะสมหรือไม่? และ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ทำแบบนี้ ถือว่าเป็นการล้ำเส้นบทบาทของนายกรัฐมนตรีรักษาการหรือไม่?
ซึ่งหากจะพูดกันจริงๆ แล้ว พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ควรจะต้องจำกัดตัวเองอยู่ที่ตำแหน่งรัฐมนตรีกลาโหมเท่านั้น ไม่ควรที่จะไปดำเนินการใดๆ นอกขอบเขตของตำแหน่งรัฐมนตรีกลาโหม และไม่ควรดำเนินการใดๆ ที่จะสร้างความสับสน และทำให้เกิดคำถามต่างๆ นาๆ จากสาธารณชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะต้องให้เกียรติต่อตัวผู้รักษาการนายกรัฐมนตรี โดยหลีกเลี่ยงการดำเนินการใดๆ ที่จะก่อให้เกิดนัยยะของการสั่นคลอน หรือบ่อนทำลาย อำนาจบริหารของผู้รักษาการนายกรัฐมนตรี ไม่สมควรที่จะทำตนเป็นนายกรัฐมนตรีเงา ครอบงำหรืออยู่เบื้องหลังการปฏิบัติงานของผู้รักษาการนายกรัฐมนตรีแต่อย่างใด
ในช่วงเวลาพักงานจากตำแหน่งนายกฯ นี้ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ควรได้ใช้เวลา และพละกำลังทั้งหมด ไปกับการทำหน้าที่รัฐมนตรีกลาโหมให้ดีที่สุด และช่วยเสริมสร้างความเข้าอกเข้าใจของสาธารณชน โดยการสื่อสารพูดจา ชี้แจงให้สาธารณชนได้เข้าใจในประเด็นปัญหาและความท้าทายต่างๆ นาๆ ที่เกี่ยวกับฝ่ายกองทัพ และฝ่ายความมั่นคงของประเทศเป็นหลัก ตัวอย่างเช่น สาธารณชนก็อยากจะรู้ว่ากระทรวงกลาโหมภายใต้การนำพาของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชานั้น ดำเนินการอย่างไรในเรื่องการเสริมสร้างความมั่นคงตลอดแนวชายแดนไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน และมีบทบาทอย่างไรในเรื่องการช่วยเหลือดูแลในเรื่องแรงงานต่างด้าว ในเรื่องผู้อพยพลี้ภัยหนีร้อนมาพึ่งเย็น และในเรื่องการดูแลชายแดนของไทยให้มีความมั่นคงปลอดภัย และเป็นช่องทางเพื่อการช่วยเหลือทางด้านมนุษยธรรมต่อประชาชนพลเมืองของประเทศเพื่อนบ้านที่ตกอยู่ในสภาวะสงครามกลางเมือง เช่นในกรณีของประเทศพม่า เป็นต้น อีกทั้งฝ่ายกระทรวงกลาโหมจะมีบทบาทมากน้อยแค่ไหน ในการป้องกันชายแดน ปราบอาชญากรรมข้ามชาติทุกประเภท
นอกจากนั้นแล้ว ในการรับมือกับการประท้วงของประชาชนพลเมืองก็มักจะมีข่าวคราวออกมาว่า ทางฝ่ายตำรวจมักจะได้รับการสนับสนุนจากฝ่ายกองทัพ ก็ถือเป็นภาระหน้าที่ของรัฐมนตรีกลาโหมที่จะต้องให้ข้อมูล ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับบทบาทของกองทัพเพื่อการนี้ว่า ในอนาคตจะมีความมากน้อย และมีขอบเขตเพียงใด ทั้งนี้ก็ต้องมีข้อคิดคำนึงที่ว่า ทหารไม่มีหน้าที่ปราบปรามประชาชน โดยฝ่ายกองทัพจะต้องเป็นมิตร และปกป้องประชาชน รวมทั้งช่วยพูดจา และเสริมสร้างความเข้าอกเข้าใจกับประชาชนเป็นสำคัญ
นอกจากนั้น ในช่วงปีที่ผ่านมา เราก็มีคณะผู้แทนทหารจากต่างประเทศมาเยือนประเทศไทยหลายคณะ โดยล่าสุดก็คือ คณะของรัฐมนตรีกลาโหมมาเลเซีย อีกทั้งฝ่ายไทยก็ได้จัดงานแสดงเทคโนโลยีทางการทหาร รวมทั้งยังได้เข้าร่วมในเวทีความมั่นคงระหว่างประเทศ แต่มีผลลัพธ์ หรือความก้าวหน้าเป็นอย่างไรกันบ้าง ก็ยังไม่เป็นที่กระจ่างชัดต่อสาธารณชนชาวไทย ซึ่งถือเป็นความจำเป็นที่รัฐมนตรีกลาโหม จะต้องออกมาชี้แจงต่อประชาชน เพื่อเสริมสร้างความเข้าใจระหว่างชาวไทย กับกองทัพ
และที่สำคัญ ไทยกับจีนนั้นยังมีปัญหาเรื่องการต่อเรือดำน้ำคาราคาซังกันอยู่ เพราะจีนไม่สามารถจัดหาเครื่องยนต์ที่ผลิตจากเยอรมนีได้ (เพราะฝ่ายเยอรมนีไม่ยอมขายให้จีน) ซึ่งปัญหานี้ ยังไม่มีคำอธิบายจากรัฐมนตรีกลาโหมว่า อนาคตของเรือดำน้ำที่จ่ายเงินมัดจำไปแล้วดังกล่าวนั้น จะเป็นอย่างไร มีทางออกแบบไหนบ้าง
อีกทั้ง งบประมาณประเทศปี 2566 ก็ได้พิจารณาเสร็จไปแล้ว ซึ่งสาธารณชนก็อยากฟังจากปากของรัฐมนตรีกลาโหม เกี่ยวกับเรื่องการจัดซื้อจัดจ้างอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ ในอนาคต ว่ามีความจำเป็น และจะใช้ประโยชน์ได้คุ้มค่าอย่างไรบ้าง เพราะทั้งหมดนี้เป็นการใช้จ่ายที่มาจากภาษีของประชาชนพลเมือง และประชาชนพลเมืองต้องการที่จะได้เห็นทหารไทยได้ใช้อาวุธที่ดีและคุ้มค่าที่สุด มิใช่อาวุธที่ตอบสนองกลุ่มผลประโยชน์ตามที่มักจะปรากฏเป็นข่าวอยู่เนืองๆ
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะรัฐมนตรีกลาโหมนั้น มีเรื่องที่จะต้องพูดจา บอกกล่าวกับประชาชนพลเมืองอีกมากมาย โดยเฉพาะในเรื่องความมั่นคง ซึ่งสำคัญยิ่งต่อประเทศชาติ จึงไม่ควรเสียเวลาไปกับเรื่องอื่นๆ ที่ไม่จำเป็น หรือที่จะสร้างความสับสนให้กับแวดวงการเมืองไทยโดยใช่เหตุ
ก่อนหน้านี้ อาจจะเพราะต้องควบสองตำแหน่ง ทั้ง นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ซึ่ง พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็คงโฟกัสไปที่ภารกิจของนายกรัฐมนตรีเป็นหลัก จึงทำให้ไม่มีเวลา ที่จะมาบอกกล่าวเรื่องของของกลาโหม ให้ชาวไทยได้รับรู้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย แต่เมื่ออยู่ในช่วงพักจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแล้ว ก็น่าจะได้หันมาใช้โอกาสนี้ ทำหน้าที่ รัฐมนตรีกลาโหม อย่างเต็มที่ดูสักที แล้วปล่อยให้ พลเอก ประวิตร ทำหน้าที่ นายกฯ รักษาการณ์ให้ได้เต็มที่จนกว่าผลวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญจะออกมา แล้วค่อยมาว่ากัน
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี