พรรคการเมืองแต่ละพรรคในประเทศไทย มีจุดยืนทางอุดมการณ์แตกต่างกันหรือไม่ อย่างไร?
คนที่เลือกพรรคเดียวกัน มีทัศนคติทางการเมืองไปในทิศทางเดียวกันเสมอไปหรือไม่ อย่างไร?
แต่ละพรรคการเมืองในวันนี้ สะท้อนจุดยืน ทัศนคติ ค่านิยม ไปในทางไหน อย่างไร?
วันนี้ ขอเชิญชวนท่านผู้อ่านลองพิจารณาข้อเขียนที่น่าสนใจ ว่าด้วยเรื่อง “ความเหมือนภายใต้ความแตกต่าง: ทัศนคติและค่านิยมกับการเลือกพรรคการเมือง” โดยบุญธิดา เสงี่ยมเนตร สถาบันวิจัยเศรษฐกิจ
ป๋วย อึ๊งภากรณ์ (เผยแพร่ผ่านเพจ Puey Ungphakorn Institute for Economic Research – PIER)
แผนภาพข้างบนนั้น แสดงให้เห็นคร่าวๆ ว่า ทัศนคติและค่านิยมของกลุ่มประชาชนที่ถูกสำรวจในวันนี้ ถูกจัดอยู่ในขั้วไหน ตั้งแต่เสรีนิยมไปจนถึงอนุรักษ์นิยม และเมื่อสอบทานย้อนหลังกลับไปถึงการเลือกตั้งใหญ่ปี 2562 คนเหล่านี้เคยเลือกพรรคการเมืองใดบ้าง
ข้อเขียนข้างต้น ระบุว่า
“...ท่ามกลางความร้อนระอุของการเมือง เราอาจจะรู้สึกถึงการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายจากการคิดต่างในสังคม คนที่เลือกพรรคการเมืองที่ต่างกันจะมีทัศนคติและค่านิยมต่างกันสุดขั้วจริงหรือไม่? หรือแท้จริงแล้วคนในสังคมอาจมีทัศนคติและค่านิยมบางอย่างร่วมกันมากกว่าที่เราคิด
โครงการวิจัย “คิดต่าง อย่างมีภูมิ” ได้พยายามทำความเข้าใจเกี่ยวกับความสมานฉันท์และความคิดต่างในสังคมไทย ผ่านการสำรวจข้อมูลกลุ่มตัวอย่างทั้งสิ้น 2,016 รายบนช่องทางออนไลน์ในช่วงระหว่างเดือนสิงหาคม – กันยายน 2564 โดยส่วนหนึ่งของงานวิจัยได้สำรวจระดับความแตกต่างทางทัศนคติและค่านิยมของกลุ่มตัวอย่างภายใต้นิยามของเสรีนิยมและอนุรักษ์นิยมที่กำหนด ดังนี้
เสรีนิยม มีทัศนคติหรือค่านิยมที่สำคัญคือ “คิดใหม่ ให้เท่าเทียม” โดยมักจะให้ความสำคัญกับค่านิยมหลักๆ เช่น สิทธิ เสรีภาพ ความหลากหลายความเสมอภาค และความเท่าเทียม เป็นต้น
อนุรักษ์นิยม มีทัศนคติหรือค่านิยมที่สำคัญคือ “ของเดิมดี มีค่ารักษาไว้” โดยเป็นให้ความสำคัญกับค่านิยมหลักๆ เช่น ประเพณีนิยม ศีลธรรมอันดีงาม ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ความมั่นคงในชีวิต และการเคารพผู้อาวุโส เป็นต้น
กลุ่มตัวอย่างที่สำรวจจะตอบคำถามเกี่ยวกับทัศนคติหรือค่านิยมของตนเอง โดยให้คะแนนในสเกล 1–6 ไล่ระดับตั้งแต่การมีค่านิยมค่อนไปทางเสรีนิยมมาก (1) ปานกลาง (2) น้อย (3) ไปยังการมีค่านิยมค่อนไปทางอนุรักษ์นิยมน้อย (4) ปานกลาง (5) มาก (6) ซึ่งจากการสำรวจพบว่า กลุ่มตัวอย่างมีทัศนคติหรือค่านิยมค่อนไปทางเสรีนิยม 1,426 ราย (ร้อยละ 71) และอีก 590 ราย (ร้อยละ 29) มีแนวคิดค่อนไปทางอนุรักษ์นิยม
อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาเปรียบเทียบระดับทัศนคติหรือค่านิยมของตัวอย่างแต่ละกลุ่มในปี 2564 ว่าเดิมทีคนเหล่านั้น “เคย” เลือกพรรคการเมืองใดในการเลือกตั้งใหญ่ปี 2562 ทำให้เราได้ข้อค้นพบที่น่าสนใจ ได้แก่
คนที่เลือกพรรคต่างกัน ไม่จำเป็นต้องมีค่านิยมที่แตกต่างกันเสมอไป
คนที่เคยเลือกพรรคการเมืองคนละพรรคกัน ก็อาจมีทัศนคติหรือค่านิยมในปัจจุบันที่คล้ายคลึงกันได้ ดังจะเห็นได้จาก คนที่สนับสนุนแนวคิดเดียวกันในปี 2564 ไม่ว่าจะเป็นแบบเสรีนิยมหรืออนุรักษ์นิยมนั้นมาจากกลุ่มคนที่เคยเลือกพรรคการเมืองที่ต่างกันในปี 2562
อย่างไรก็ดี เราไม่สามารถบอกได้ว่าการที่คนมีค่านิยมที่คล้ายคลึงกันในปี 2564 นั้นมาจากสาเหตุใด ส่วนหนึ่งอาจเกิดจากคนมีการเปลี่ยนทัศนคติ เนื่องจากพลวัตทางด้านเศรษฐกิจการเมืองในช่วง 2 ปี ที่ผ่านมา หรือแท้จริงแล้วอาจเป็นเพราะคนที่เคยเลือกพรรคการเมืองที่ต่างกันแต่มีทัศนคติหรือค่านิยมบางอย่างร่วมกันอยู่แล้วตั้งแต่ต้นก็เป็นได้
คนที่เลือกพรรคเดียวกัน ไม่จำเป็นต้องมีความสุดขั้วในระดับเดียวกัน
คนที่เคยเลือกพรรคเดียวกันในปี 2562 ต่างก็มีระดับความสุดขั้วที่แตกต่างกันในแง่ของความเป็นเสรีนิยมและอนุรักษ์นิยมในปี 2564 ดังจะเห็นได้จาก กลุ่มตัวอย่างที่เคยเลือกอนาคตใหม่ ก็มีระดับความสุดขั้วของแนวคิดแบบเสรีนิยมที่แตกต่างกัน...”
ข้อเขียนข้างต้น มีประเด็นคิดที่น่าสนใจ
เห็นด้วยอย่างมากว่า
คนที่เลือกพรรคต่างกัน ไม่จำเป็นต้องมีค่านิยมที่แตกต่างกันเสมอไป
คนที่เลือกพรรคเดียวกัน ไม่จำเป็นต้องมีความสุดขั้วในระดับเดียวกัน
ยกตัวอย่าง
คนเลือกพรรคอนาคตใหม่เมื่อปี 2562 อาจจะเพียงเพราะเอียนการเมืองน้ำเน่า โดยไม่ได้จะให้ไปสนับสนุนหรือเคลื่อนไหวการโจมตีสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างม็อบสามนิ้ว และยิ่งไม่สนับสนุนให้มีการใช้ระบบเส้นสายในพรรคดังที่เกิดขึ้นกับการตั้งคนไปดำรงตำแหน่งต่างๆ และการเลือกผู้สมัครของพรรคหลังเลือกตั้ง
คนเลือกพรรคพลังประชารัฐเมื่อปี 2562 อาจไม่ใช่หัวอนุรักษ์อะไรเลย แต่เพราะเห็นว่าเป็นพรรคที่เสนอพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกฯ ตัดสินใจสนับสนุนเพราะต้องการให้พลเอกประยุทธ์เป็นนายกฯต่อเนื่อง เพราะต้องการเห็นบ้านเมืองสงบสุข มีความต่อเนื่องในการพัฒนาและแก้ปัญหาที่หมักหมม
เวลาผ่านไป ทั่วโลกเจอสถานการณ์โควิด เศรษฐกิจยับเยินทุกประเทศทั่วโลก แล้วยังเจอวิกฤตความขัดแย้ง สงครามการค้าระดับโลกซ้ำซ้อนเข้าไปอีก เปิดปัญหาหนักหน่วงอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน
ไม่ว่าพรรคไหนเป็นรัฐบาล มั่นใจได้เลยว่า ประเทศไทยก็จะเจอกับสถานการณ์หนักหนาสาหัสไม่น้อยไปกว่ากันนี้ (อย่าไปเชื่อลมปากขี้โม้นักการเมืองให้มากนักเลย ลองกลับไปดูผลการทำงานในช่วงที่เคยมีอำนาจรัฐ ขนาดยังไม่เจอวิกฤตระดับโลกแบบนี้ ยังล้มเหลวสารพัดเรื่อง)
ส่วนพรรคสีส้ม ลองคิดดูว่า ถ้าบริหารประเทศในช่วงการเมืองโลกแหลมคมแบบนี้ อาจจะพาประเทศเลือกข้างไปแบบ “ยูเครน” สถานการณ์ในภูมิภาคนี้อาจจะเลวร้ายกว่าที่เป็นอยู่ ก็เป็นไปได้
สุดท้าย การจะตัดสินอะไรก็ตาม เราต้องดูกันที่สถานการณ์ความเป็นจริง ข้อจำกัด เงื่อนไขทางสังคมที่เป็นอยู่ มิใช่แค่คำคุยโม้คุยโว(เห็นไหม กลุ่มนักกิจกรรมสามนิ้ว อ้างเสมอภาค เสรีภาพ แต่ล่วงละเมิดทางเพศ เลือกปฏิบัติ บูลลี่คนเห็นต่างไปทั่ว) หรือคุยโวเรียกร้องความโปร่งใส แต่ไปดูสมัยตนบริหารประเทศ มีคดีโกงระดับอดีตรัฐมนตรี อดีตผู้บริหาร ติดคุกกันระนาว หนีคดีกันอุตลุด ก็มีอยู่ทนโท่
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี