นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงคณะรัฐมนตรี มีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงการได้มาซึ่งที่ดินเพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยของคนต่างด้าว ตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนโดยการดึงดูดคนต่างด้าวที่มีศักยภาพสูงสู่ประเทศไทย พ.ศ. ....ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ว่า แม้ครม. จะมีมติอนุมัติในหลักการไปแล้ว แต่ยังสามารถมีการทบทวนร่างกฎกระทรวงดังกล่าวได้จากนี้ครม.จะต้องส่งไปให้คณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณา และเมื่อตรวจสอบเสร็จแล้วต้องส่งกลับมาที่ครม.อีกครั้ง ส่วนที่มีการเสนอความคิดเห็นต่างๆเข้ามา ก็สามารถเสนอเข้ามาได้
นายวิษณุ กล่าวว่า เมื่อใดก็ตามที่มีการพูดถึงเรื่อง การให้คนต่างชาติเข้ามาซื้อที่ดินในประเทศไทย จะเป็นปัญหามาตลอด ซึ่งมีมาตั้งแต่สมัยรัฐบาลพล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ ปี 2531 ต่อมา ปี 2545 ก็ได้มีการร่างกฎกระทรวงออกมาในรัฐบาลนายทักษิณ ชินวัตร ซึ่งกำหนดให้คนต่างชาติที่มีเงินลงทุน 40 ล้านบาทขึ้นไปสามารถเข้ามาซื้อที่ดินได้คนละไม่เกิน 1 ไร่ เพื่อการอยู่อาศัย รวมถึงมีการกำหนดหลักเกณฑ์ต่างๆ ตั้งแต่ปี 2545 มาจนถึงปัจจุบันนี้ก็เป็นเวลานานพอสมควร หลักเกณฑ์เดิมที่เคยมีในตอนนั้นบางเรื่องถือว่าตึงเกินไป แต่บางเรื่องก็หละหลวมเกินไป เราจึงอยากจำกัดหลักเกณฑ์ผู้ที่มาซื้อที่ดิน ในประเทศว่าไม่ใช่ให้ใครก็ได้เพียงแค่มีเงิน 40 ล้านบาท จึงได้กำหนดกลุ่มคนต่างชาติ 4 ประเภท เพื่อกำหนดคนผู้ได้รับสิทธิ์ให้วงแคบลง
“ขณะเดียวกัน มีการเพิ่มเงื่อนไข หรือปรับบางอย่างก็ได้ ส่วนที่ออกมาแสดงความคิดเห็นกันในขณะนี้ บางคนก็เสนอให้มีการเติมเงื่อนไข ซึ่งรัฐบาลยินดีรับไว้พิจารณา อาทิ ข้อเสนอที่ห้ามมีการนำไปขายต่อ ห้ามมิให้ผู้ซื้อที่ดินนำที่ดินมาต่อรวมกัน”นายวิษณุ ย้ำ
ผู้สื่อข่าวถามว่ามีบางฝ่ายเสนอให้ปรับหลักเกณฑ์ จาก 40 ล้านบาทให้เป็น 100 ล้านบาท นายวิษณุ กล่าวว่า ตนไม่ทราบ ต้องให้ผู้ที่เกี่ยวข้องไปพิจารณาอีกครั้ง รัฐบาลหวังเพียงอยากให้มีคนที่มีศักยภาพเข้ามาลงทุน และคิดว่าข้อกำหนดเรื่องจำนวนเงิน 40 ล้านบาท ก็คิดว่าน่าจะมากพอหากเป็นเรื่องของการก่อสร้าง แต่ถ้าจะไปนับรวมที่ดินกับสิ่งปลูกสร้าง ก็อาจจะมีการกำหนดโดยแยกรายละเอียดอีกครั้ง ว่าแต่ละส่วนนั้นต้องมีมูลค่า
เท่าไหร่อย่างไร
เมื่อถามว่า บางฝ่ายแสดงความกังวลเรื่องใช้นอมินี หรือบางคนปลอมแปลงคุณสมบัติตัวเองเพื่อให้เข้าหลักเกณฑ์ เพื่อมีสิทธิ์ซื้อที่ดินในประเทศไทยตามหลักเกณฑ์ของกฎกระทรวงดังกล่าวนายวิษณุ กล่าวว่า เรื่องนอมินี มีมาตั้งแต่ปี 2470 จึงทำให้เกิดปัญหา อาทิ กรณีหญิงไทยมีสามีเป็นชาวต่างชาติ แล้วสามีให้ภรรยาชาวไทยเป็นผู้ซื้อที่ดินแทนด้วยเงินของสามี อย่างนี้ก็เรียกว่า นอมินี ชนิดหนึ่ง พร้อมปฏิเสธว่าไม่ทราบที่มีนักธุรกิจบางรายเสนอให้ใช้สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ แทนเงินบาท
เมื่อถามถึงกฎกระทรวงฉบับปี 2545 มีชาวต่างชาติที่เข้าหลักเกณฑ์มาซื้อที่ดินในไทย เพียง 8 ราย นายวิษณุ กล่าวว่า อันที่จริง มีชาวต่างชาติเข้ามาซื้อมากกว่านั้นแต่ที่พบเป็นชิ้นอันรวมแล้ว 100 กว่าตารางวา ส่วนที่พูดกันว่ามี 8 ราย เป็นกรณีที่มีผู้ซื้อรายละ1 ไร่ แต่ผู้ที่มาซื้อที่พักอาศัยอยู่ในบ้านจัดสรรพื้นที่เป็น 100 ตารางวามีจำนวนมากมายเหลือเกิน ที่สำคัญเรื่องของคอนโดมิเนียมก็มีชาวต่างชาติเข้ามาซื้อตั้งนานแล้ว
เมื่อถามว่าเกณฑ์ปัจจุบันที่อยู่ในร่างกฎกระทรวงมหาดไทย จะช่วยแก้ปัญหาเรื่องนอมินีได้หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า ยังต้องมีการพิจารณาอีกมาก เพราะร่างดังกล่าวเป็นเพียงร่างแรก ทุกครั้งที่เราพูดถึงกันเรื่องขายที่ดินให้ชาวต่างชาติ ก็มักจะมีการพูดถึงเรื่อง ขายชาติ และจะมีอีกฝ่ายออกมาตอบโต้ว่าไม่ใช่การขายชาติ เพราะคนต่างชาติเหล่านั้นก็ไม่สามารถนำที่ดินหนีบรักแร้กลับไปประเทศของเขาได้ จึงมีการเถียงกันอย่างนี้มาตลอด ตนอยู่มาตั้งแต่สมัย พล.อ.ชาติชาย ที่เสนอเรื่องนี้แต่ตอนนั้นทำไม่สำเร็จจึงได้เลิกไป จนกระทั่งมาถึงรัฐบาลนายทักษิณ ก็ทำได้สำเร็จและบังคับใช้เรื่อยมา การปรับเกณฑ์ก็เพราะอยากให้เพิ่มจำนวนคนซื้อมากขึ้น
เมื่อถามว่าหากรัฐบาลเปลี่ยนใจให้พักเรื่องนี้ไปก่อนหรือไม่ ขณะนี้มีกระแสต่อต้านมากนายวิษณุกล่าวว่า “ถ้ามีกระแสต้านเข้ามามาก รัฐบาลก็จะนำมาพิจารณา แต่เรื่องนี้ก็มีทั้งเสียงเรียกร้องเสียงคัดค้าน”
ตัวอย่างของเสียงคัดค้าน 2 เสียงที่น่ารับฟัง เช่น
1) คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย นายสุพันธุ์ มงคลสุธี หัวหน้าทีมเศรษฐกิจของพรรค นายนพดล มังกรชัย รองหัวหน้าพรรค ร่วมกันแถลงขอให้รัฐบาลทบทวนมติ ครม.กรณีแก้ไขกฎกระทรวงว่าด้วยการถือครองที่ดินไม่เกิน 1 ไร่ของชาวต่างชาติ เพื่อดึงดูดคนต่างชาติกลุ่มที่มีศักยภาพสูงตั้งแต่ 40 ล้านบาทมาลงทุนในประเทศไทย จนเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ในวงกว้าง
พรรคไทยสร้างไทย เห็นว่าหลักการในร่างกฎกระทรวงที่ผ่านการเห็นชอบมานั้น จะส่งผลเสียต่อประเทศชาติในระยะยาวมากกว่าการได้ประโยชน์เพียงน้อยนิดในระยะสั้น ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้
1. มาตรการนี้ ไม่น่าจะได้ประโยชน์มากนัก เพราะจำนวนเงินที่มาลงทุนแค่ 40 ล้านบาท เป็นจำนวนที่น้อยมาก ไม่ได้สร้าง impact ในเชิงเศรษฐกิจมากมาย เงื่อนไขการลงทุน ก็ยังเปิดช่องให้ลงทุนในลักษณะไม่ได้สร้างการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยตรง ไม่ก่อให้เกิดการสร้างงาน และการถ่ายทอดเทคโนโลยี เพราะเน้นการเอาเงินมาฝากไว้ในพันธบัตร หรือกองทุนในระยะเวลาสั้นๆ แค่ 3 ปี ลักษณะดังกล่าวเป็นการลงทุนทิ้งไว้เฉยๆ รอรับดอกเบี้ยหรือเงินปันผล หลักการที่ถูกต้องควรจะเป็นการลงทุนทางตรง โดยนำเงิน 40 ล้านบาท มาซื้อที่ดินและสิ่งปลูกสร้างโดยตรง ควรเป็นที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างใหม่ในโครงการ เช่น บ้านในหมู่บ้านจัดสรรใหม่ไม่ใช่ซื้อที่ดินเปล่าเพื่อมาปลูกบ้าน เพื่อทำให้มีเงินไหลเข้าสู่ระบบทันที
2. ต้องวางเงื่อนไขเพื่อคุมวัตถุประสงค์การใช้ที่ดินอย่างเข้มงวด ใช้เพื่อการอยู่อาศัยเท่านั้น ห้ามเอาไปทำการค้าหรือปล่อยเช่าต่อเด็ดขาด เพื่อเป็นการดึงเงินเข้ามาในระบบให้กับผู้รับเหมาและผู้พัฒนาที่ดินที่ปัจจุบันกำลังประสบปัญหาอยู่ และมีเงื่อนไขการโอนให้ชัดเจนว่า โอนให้คนไทยได้เท่านั้น หลังจากถือครองมาแล้ว 5 ปี
3. รัฐควรนำมาตรการทางภาษีมาใช้ เหมือนอย่างที่ในหลายประเทศใช้อยู่ โดยคิดค่าธรรมเนียมการโอน ของชาวต่างชาติให้มากกว่าคนไทย และเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างในอัตราที่มากกว่าคนไทย เพื่อดึงเงินเข้ารัฐโดยตรงอีกทางหนึ่ง
4.การสร้างรายได้เข้าประเทศ สามารถทำได้หลายวิธี พรรคไทยสร้างไทย มีนโยบายและแผนงานรองรับไว้ทั้งหมด ตัวอย่างเช่น การสร้างรายได้จากฐานเศรษฐกิจใหม่ และจากวิกฤตโลก ที่สามารถพลิกให้เป็นโอกาสในการสร้างรายได้ของประเทศไทย ทั้งวิกฤตอาหาร วิกฤตห่วงโซ่อุปทาน (supply chain) โดยทำงานในเชิงรุกเพื่อดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ และต้องเร่งแก้กฎหมายที่เป็นอุปสรรคขวางกั้นการลงทุนของต่างชาติ
2) นายธีระชัย ภูวนารถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง อ้างถึงความเห็นของ นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ที่กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า จะเป็นจุดดึงดูดทุนจากต่างประเทศเข้ามาในประเทศไทย และตัวคนต่างชาติเองก็จะจับจ่ายใช้สอยมากขึ้นดังนั้น มุมทางเศรษฐกิจ ในระยะสั้นก็จะมีเงินเข้ามาจากการซื้อที่ดิน ที่อยู่อาศัย ในระยะยาวกว่านั้น ก็มาจากการจับจ่ายใช้สอย รวมทั้งการใช้ทักษะ ความรู้ความสามารถของเขา มาสร้างงาน สร้างโอกาสในบ้านเราด้วย
นายกรณ์เห็นว่า ครม.ได้วางกรอบกติกา เพื่อที่จะจำกัดผลข้างเคียง เช่น ต่างชาติต้องมีเงินลงทุนผูกพันในประเทศไทย อย่างน้อย 3 ปี เป็นวงเงิน 40 ล้าน ซึ่งก็สะท้อนให้เห็นว่า ตัวมูลค่าสินค้า บ้านและที่ดิน ในราคาค่อนข้างสูง จะเป็นคนละตลาดกับการซื้อขายบ้านทั่วไป นอกจากนี้ ยังจำกัดพื้นที่เฉพาะในเขตเทศบาล เพื่อป้องกันไม่ให้แย่งซื้อกับชาวบ้าน เกษตรกร ที่อยู่นอกเขตเทศบาล และเมื่อทดลองดู 5 ปี ถ้ามีข้อเสียมากกว่าข้อดีก็สามารถยกเลิกได้
นายธีระชัยบอกว่า “ผมไม่เห็นด้วยกับนโยบายนี้ และไม่เห็นด้วยกับข้อคิดของคุณกรณ์ ด้วยเหตุผลต่อไปนี้
1. การอ้างว่าเป็นการแลกกับการลงทุนในไทยขั้นต่ำ 40 ล้านบาทนั้น ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นการลงทุนในลักษณะของ Foreign Direct Investment ที่เงินทุนมาพร้อมกับเทคโนโลยี พร้อมการจ้างงาน พร้อมยี่ห้อและการตลาดส่งออก แต่ผลในข้อเท็จจริง เป็นเพียงการขายที่ดิน เพียงแต่ตั้งระดับวงเงินให้เป็นที่ดินราคาสูง และเพียงแต่ยังไม่เปิดให้ซื้อที่ดินเกษตรกรรม
2. ความหวังที่จะให้คนต่างชาติ นำเอาทักษะความรู้ความสามารถของเขา มาสร้างงานสร้างโอกาสในไทย นั้น ขณะนี้มีโครงการดึงดูดบุคลากรที่มีความรู้เฉพาะด้าน ที่กำลังดำเนินการอยู่แล้ว โครงการให้ต่างชาติซื้อที่ดินนั้น ไม่ได้คัดเลือกต่างชาติที่มีความรู้หรือมีทักษะ แต่เลือกต่างชาติที่ฐานะร่ำรวยเป็นสำคัญ ทั้งที่การเปิดให้ต่างชาติซื้ออสังหาริมทรัพย์นั้น ทำได้อยู่แล้วในรูปแบบคอนโดมิเนียม โดยจะทำให้เลิศหรูแพงแค่ไหนก็ได้ จึงไม่ควรเอาสองเรื่องที่มีวัตถุประสงค์แตกต่างกันไปปะปนกัน
3. ประเทศตะวันตกที่เปิดให้ต่างชาติซื้อบ้านและที่ดินได้อย่างเสรีนั้น ส่วนใหญ่รอให้มีการพัฒนาประเทศจนมีความก้าวหน้าระดับหนึ่งเสียก่อน และบางประเทศจะทำการปฏิรูปเพื่อกระจายการถือครองที่ดินก่อนด้วย กล่าวคือ ทำให้ประเทศมีความก้าวหน้า จนกระทั่งประชาชนในชาติมีระดับเงินเดือนและค่าแรงสูงขึ้นเสียก่อน เพื่อปล่อยให้ราคาอสังหาริมทรัพย์โดยรวมปรับตัวสูงขึ้นไปก่อนตามกำลังซื้อของคนในชาติ
การเปิดเสรีให้ต่างชาติซื้อได้ ภายหลังจากคนท้องถิ่นได้มีโอกาสพัฒนาฝีมือทักษะ จนเงินเดือนค่าแรงสูงขึ้นไปพอควรแล้ว นั้น จึงจะเป็นธรรมทั้งแก่คนท้องถิ่นและคนต่างชาติ แต่การเปิดเสรีในขณะที่การพัฒนาประเทศยังไม่คืบหน้า ในขณะที่กำลังซื้อส่วนใหญ่ยังอยู่ในมืออภิมหาเศรษฐีติดอันดับโลกเพียงหยิบมือ นั้น เป็นมาตรการเพื่ออุ้มเอื้อประโยชน์ให้แก่อภิมหาเศรษฐีโดยตรง ซึ่งหลายคนอาจเป็นนายทุนของบางพรรค
กรณีรัฐบาล พลเอกประยุทธ์ นั้น ถูกวิจารณ์ว่า เชื้อเชิญ อภิมหานายทุนให้เข้ามาช่วยขับเคลื่อนรัฐบาลมาหลายปีแล้วการกำหนดนโยบายต่างๆ ซึ่งยาวนานเกินแปดปีไปแล้ว ก็เกิดผลเป็นการกระจุกโครงการที่อุ้มเอื้อนายทุน ดังนั้น นโยบายปิดท้ายนี้เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจจึงเป็นเสมือนการเอาสมบัติคุณทวดมาเลหลังขายถูก ถามว่าประชาชนทั่วไปได้อะไร?
4. พลเอกประยุทธ์ อาจจะไปเปรียบเทียบกับโครงการของประเทศยุโรป เช่น โปรตุเกสเปิดให้ต่างชาติขอพำนักระยะยาว โดยต้องโอนเงินเข้าธนาคาร 1.5 ล้านยูโรขึ้นไป หรือนำไปลงทุนตามที่รัฐเห็นชอบ หรือเอาเงินเข้าไปลงทุนในบริษัทจดทะเบียนที่นั่นไม่น้อยกว่า 5 แสนยูโร เป็นเวลาไม่น้อยกว่า 5 ปี หรือลงทุน 5 แสนยูโร ในโครงการที่พัฒนาเทคโนโลยี หรือลงทุน 2.5 แสนยูโร ในโครงการเพื่อวัฒนธรรมของชาติ หรือซื้อที่อยู่อาศัยมูลค่าไม่ต่ำกว่า 5 แสนยูโร หรือซื้อเพื่อปรับปรุงที่อยู่อาศัยอายุเกิน 30 ปี มูลค่าไม่ต่ำกว่า 3.5 แสนยูโร หรือในด้านธุรกิจ มีการจ้างงานไม่ต่ำกว่า 10 ตำแหน่ง หรือลงทุน 5 แสนยูโร ในกิจการที่จ้างงานไม่น้อยกว่า 5 ตำแหน่ง เป็นเวลา 3 ปี
กรีซ เปิดให้ต่างชาติขอพำนักระยะยาว โดยต้องซื้อที่อยู่อาศัยมูลค่า 2.5 แสนยูโร สามารถขอสัญชาติกรีกได้เมื่อพ้น 7 ปี
แต่กรณียุโรปนั้น ส่วนใหญ่ได้มีการพัฒนาประเทศจนระดับรายได้ของพลเมืองขึ้นไปสูงเท่าที่จะทำได้แล้ว และขณะนี้ ยุโรปใต้ ดังตัวอย่างสองประเทศนี้ กำลังเผชิญปัญหาไม่สามารถแข่งขันกับยุโรปเหนือได้ภายในกรอบค่าเงินยูโรเดียวกัน ยุโรปใต้จึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องเอาของเก่ามาขายกิน หวังว่าโครงการทำนองนี้จะนำคนต่างชาติเข้ามาช่วยแก้ปัญหาว่างงาน
ในทางกลับกัน ประเทศไทยยังไม่ได้กระจายความเจริญและอำนาจทางเศรษฐกิจ ให้ออกจากมืออภิมหาเศรษฐีเพื่อไปให้ประชาชนอย่างกว้างขวาง นอกจากนี้ ไทยใช้สกุลเงินอิสระ มิใช่ผูกค่ากับสกุลรวมอันกระทบความสามารถในการแข่งขัน
รวมทั้งไทยยังมีศักยภาพที่พัฒนาชุมชนให้ปรับตัวแข่งขันในพลวัตโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงได้ รัฐจึงควรทำนโยบาย เพื่อเพิ่มความเก่ง เพิ่มโอกาส ให้แก่คนไทยโดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ มากกว่าขายสมบัติเจ้าคุณทวดเช่นนี้
ในความเห็นของผม นโยบายที่ลำเอียง ที่ไม่ได้ให้ประโยชน์แก่ประชาชนกว้างขวาง ที่อุ้มเอื้ออภิมหานายทุนที่จะทำโครงการขายที่ดินให้ต่างชาติ ที่เป็นการตัดโอกาสคนรุ่นใหม่ที่จะสร้างครอบครัวในอนาคต โครงการในลักษณะนี้ ไม่ควรแซนด์บ็อกซ์ 5 ปี แค่คิดเพียง 1 วัน ก็ผิดเสียแล้ว!
สรุป : ใครมีความเห็นใด พึงแสดงออกมาพร้อมเหตุและผล อย่าใช้เพียงความรู้สึก และช่วยกันขีด “เส้นใต้บรรทัด” ที่นายวิษณุกล่าวไว้ว่า “ยังต้องมีการพิจารณาอีกมาก เพราะร่างดังกล่าวเป็นเพียงร่างแรก” เท่านั้น!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี