“เด็กประถมต้นวันนี้มีพัฒนาการถดถอยเท่าเด็กอนุบาล!” เป็นการเกริ่นนำโดย รศ.ดร.วีระชาติ กิเลนทอง สถาบันวิจัยเพื่อการประเมินและออกแบบนโยบาย (RIPED) มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย (UTCC) ถึงผลกระทบที่เด็กได้รับจากสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 ซึ่งส่งผลกระทบหลากหลายด้านทั้งสุขภาพ เศรษฐกิจ รวมถึงการศึกษา โดยมีข้อค้นพบจากการสำรวจสถานะความพร้อมในการเข้าสู่ระบบการศึกษาของเด็กปฐมวัย (Thailand School Readiness Survey: TSRS) ที่ RIPED-UTCCทำงานร่วมกับ กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ดังนี้
1.ทักษะด้านภาษา หลังจากต้องหยุดเรียนเป็นเวลานาน เด็กปฐมวัยจำนวนมากขึ้นไม่รู้จักตัวอักษรไทยเลย โดยจากร้อยละ 9 ก่อนการระบาดของโควิด-19 เป็นร้อยละ 15 หลังการระบาดของโควิด-19 (จาก 5 ตัวที่เลือกมาทำการทดสอบ)2.ทักษะด้านคณิตศาสตร์ หลังจากต้องหยุดเรียนเป็นเวลานาน เด็กปฐมวัยจำนวนมากขึ้นไม่รู้จักตัวเลข 0-9 ได้ครบ จากร้อยละ 25 ก่อนการระบาดของโควิด-19 เป็นร้อยละ 36 หลังการระบาดของโควิด-19
และ 3.Executive Functions (EFs) หลังจากต้องหยุดเรียนเป็นเวลานาน เด็กปฐมวัยมีความสามารถในการจำข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้ลดลง ซึ่งน่าจะเป็นเพราะความจำใช้งานต้องสร้างผ่านการทำกิจกรรมที่กระตุ้นในการเรียนรู้อย่างสมํ่าเสมอ สมองจึงจะพัฒนาความสามารถในการจดจำแล้วดึงความจำนั้นมาใช้งาน ดังนั้นพอไม่ไปโรงเรียนและผู้ปกครองไม่รู้วิธีกระตุ้น จึงเกิดภาวะถดถอยขึ้น
การสำรวจดังกล่าวของ RIPED-UTCC และ กสศ.นอกจากเก็บข้อมูลพัฒนาการของเด็กแล้วยังรวมถึงข้อมูลพื้นฐานของครัวเรือนและสถานศึกษา ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญต่อระดับความพร้อมของเด็กปฐมวัย-ระดับอนุบาล 3 จำนวน73 จังหวัด ระหว่างปีการศึกษา 2563-2565 ซึ่งได้ข้อสรุปว่าการปิดสถานศึกษาในช่วงการระบาดของโควิด-19 ส่งผลให้เกิดปัญหาภาวะ “การเรียนรู้ถดถอย (Learning Loss)” กับเด็กปฐมวัยอย่างชัดเจน
โดยพิจารณาจากผลเปรียบเทียบระดับความพร้อมฯ เฉลี่ยด้านวิชาการของเด็กปฐมวัย ชี้ให้เห็นว่า กลุ่มตัวอย่างที่สำรวจในปี 2565 ซึ่งเป็นปีหลังการปิดเรียนเนื่องจากการระบาดของโควิด-19 อย่างยาวนานมีระดับความพร้อมตํ่ากว่ากลุ่มตัวอย่างที่สำรวจในปี 2563 (ไม่มีผลกระทบจากโควิด)และกลุ่มตัวอย่างที่สำรวจในปี 2564 (ได้รับผลกระทบจากโควิดเล็กน้อย)
“ตลอดเวลา 2 ปีที่ผ่านมาในช่วงการระบาดของโควิด-19 เด็กๆ เรียนด้วยข้อจำกัด การเรียนออนไลน์ ไม่เหมาะกับเด็กปฐมวัย ขณะที่ช่วงประถมศึกษาตอนต้นคือพื้นฐานสำคัญของการเรียน การอ่าน การคิดเลข ถ้าเริ่มต้นไม่ดี เรียนไม่รู้เรื่องตั้งแต่เล็ก โอกาสที่จะล้มเหลวในอนาคตสูงที่สำคัญในช่วงการระบาดของโควิด-19 แน่นอนว่าเด็กจากครอบครัวมีฐานะร่ำรวยอาจสููญเสียการเรียนรู้มากกว่า แต่น่าจะฟื้นคืนได้เร็วกว่าเมื่อโลกกลับมา เปิดอีกครั้ง ในขณะที่พัฒนาการเรียนรู้ของเด็กจากครอบครัวยากจนจะฟื้นฟูอย่่างช้าๆ หรือไม่ฟื้นคืนกลับมาเลย” รศ.ดร.วีระชาติ กล่าว
ณ ปัจจุบัน เมื่อสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายลงเนื่องจากประชากรส่วนใหญ่มีภูมิต้านทาน (ทั้งจากการเคยติดเชื้อแล้วหายป่วย และจากการฉีดวัคซีน) ทำให้แม้ไวรัสโควิด-19 จะไม่ได้หายไปไหนแต่มีแนวโน้มที่ผู้ติดเชื้อจะมีอาการไม่รุนแรงเหมือนกับช่วงที่เริ่มมีการระบาดใหม่ๆ ดังนั้นกิจกรรมต่างๆ รวมถึงการเรียนการสอนในสถานศึกษา (On Site) จึงกลับมาดำเนินการอย่างเต็มรูปแบบอีกครั้ง
“ครอบครัว : จุดเริ่มต้นการฟื้นฟูเด็ก” เป็นมุมมองจาก รศ.ดร.จุฑารัตน์ สถิรปัญญา หัวหน้าหน่วยเวชศาสตร์ชุมชนสาขาวิชาเวชศาสตร์ครอบครัวและเวชศาสตร์ป้องกัน คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (ม.อ.) ที่ให้ความเห็นว่า “พ่อแม่ส่วนใหญ่มักคิดว่าพอลูกไปโรงเรียนก็หมดหน้าที่ตัวเอง เพราะครูจะคอยดูแลต่อ” แต่เมื่อเกิดสถานการณ์โควิดที่ลูกต้องอยู่บ้านมากกว่าโรงเรียน ทำให้พ่อแม่ต้องทำหน้าที่เป็นครูคนที่สอง” คือคอยรับใบงานเพื่อไปสอนลูกที่บ้านแทนครู
“แต่ปัญหาคือ ครูไม่สามารถสื่อสารกับพ่อแม่ได้ทั้งหมด ทำให้เด็กทำตามใบงานนั้นได้แต่ขณะเดียวกันก็เข้าไม่ถึงวัตถุประสงค์ที่ครูตั้งไว้ นั่นเพราะพ่อแม่ขาดทักษะทางการเรียนรู้ของเด็ก และนี่คือปัญหาสำคัญที่ทำให้เกิดการถดถอยทางการเรียนรู้วิธีแก้คือ ต้องให้พ่อแม่มีโอกาสเข้าไปเรียนรู้ร่วมกัน แต่ก็ไม่ใช่พ่อแม่ทุกคนที่มีความพร้อมทำได้ ทั้งที่ทุกสถานการณ์ในชีวิตประจำวันสามารถส่งเสริมการเรียนรู้ของเด็กได้หมด เพียงแต่พ่อแม่ที่ไม่เคยรู้ก็อาจไม่ได้ทำสิ่งนี้” รศ.ดร.จุฑารัตน์ กล่าว
อีกด้านหนึ่ง ผศ.ดร.ศิริวรรณ ฉัตรมณีรุ่งเจริญ คณบดีคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต กล่าวถึงบทบาท “โรงเรียนกับการฟื้นฟูความรู้ถดถอยในเด็กประถมต้น” ว่า เมื่อขึ้นประถมศึกษา ทักษะต่างๆ เช่น การกำกับตนเองในการเรียนรู้ กระบวนการคิดสร้างสรรค์ เป็นทักษะที่ต้องอยู่กับเด็กในระยะยาว ถ้าไม่มีทักษะเหล่านี้ชีวิตทั้งชีวิตจะหายไป ซึ่งการกำกับตนเองเป็นเรื่องที่ต้องบ่มเพาะในทุกระดับไม่ว่าจะเป็นระดับปฐมวัยไปจนถึงวัยผู้ใหญ่ หมายถึงคือการรู้ว่าเป้าหมายชีวิตคืออะไร วางแผนได้ว่าต้องทำอะไรบ้าง
จะต้องหาข้อมูลอะไรมาเติมเต็มตรงนี้เพื่อที่จะดำเนินการตามแผน แม้เจอปัญหาก็ไม่ย่อท้อ สามารถใช้เป็นบทเรียนและส่งเสริมตัวเองให้ไปบรรลุเป้าหมายนั้นได้ ซึ่งเมื่อใดก็ตามที่เปิดกว้างให้เด็กลองผิดลองถูกจากการปฏิบัติตั้งแต่อนุบาล ฝึกกระบวนการคิดจากการลงมือปฏิบัติ ให้ลองคิดว่าที่กำลังลงมือปฏิบัติอะไรคือดี-ไม่ดี และหากไม่ดีจะทำอย่างไรให้ดีขึ้นกว่าเดิม นั่นคือเด็กกำลังเรียนรู้กระบวนการมากกว่าผลลัพธ์ หากชั้นประถมถูกฝึกอย่างนี้ เวลาเด็กได้โจทย์อะไรมาสมองจะทำงานทันทีว่าต้องทำอย่างไร
“ถ้าครูสอนแล้วนักเรียนไม่เกิด Active Learning คือจบ ดังนั้นการสอนของครูต้องปรับแล้ว Active Learningจริงๆ ต้องกลับมาแล้ว คือสอนและบ่มเพาะให้เด็กเกิดการเรียนรู้อย่างแท้จริงจากการลงมือปฏิบัติ เมื่อใดก็ตามที่สถานการณ์แบบโควิดกลับมาอีกก็จะไม่มีผลอะไรเพราะนักเรียนสามารถกำกับตนเองในการเรียนรู้ได้” ผศ.ดร.ศิริวรรณ กล่าว
ทั้งหมดที่กล่าวมานี้เป็นส่วนหนึ่งจาก “รายงานฉบับพิเศษ ห้องเรียนฟื้นฟูหลังโควิด-19 สถานการณ์ แนวทางฟื้นฟูภาวะฉุกเฉินทางการเรียนรู้และการจัดการห้องเรียนสําหรับเด็กปฐมวัยและประถมศึกษาตอนต้น” ที่เพิ่งเผยแพร่เมื่อเร็วๆ นี้ โดยยังมีบทความที่น่าสนใจอีกมากมาย รวมถึงแนวทางที่ช่วยให้ครูและพ่อแม่ผู้ปกครองสามารถ “ฟื้นฟู” การศึกษาของเด็กจากผลกระทบของโควิด-19 ได้ ผู้สนใจสามารถเข้าไปดาวน์โหลดรายงานฉบับเต็มได้ที่เว็บไซต์ https://creativeschools.eef.or.th/ แล้วค้นหาที่หมวด “รายงานเด่น”
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี