เมื่อโลกสิ้นสุดยุคสงครามเย็นไปเมื่อปี พ.ศ. 2532 ผสานกับการล่มสลายของสหภาพโซเวียตคอมมิวนิสต์ในปลายปี พ.ศ. 2534 ชาวโลกก็เริ่มหายใจทั่วท้อง และมีความคาดหวังว่าจะได้เห็นสันติสุข รวมทั้งความเจริญก้าวหน้าเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิต และด้วยความเจริญก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีการสื่อสาร โลกก็เกิดการเชื่อมโยงทางด้านข้อมูลข่าวสาร และการติดต่อกันอย่างทั่วถึง
แต่อย่างไรก็ตาม ความรู้สึก และความคาดหวังดังกล่าวกลับเดินหน้าไปได้ไม่นาน เพราะโลกกลับต้องมาเผชิญกับความคิดอ่านที่สุดโต่ง การมีบรรดาพวกหัวรุนแรงซึ่งใช้ความรุนแรงเป็นเครื่องมือที่จะเอาแพ้เอาชนะซึ่งกันและกัน อีกทั้งก็เกิดความไม่เห็นดีเห็นงามกับโลกยุคโลกาภิวัตน์ เพราะความรู้สึกที่ว่ามันเป็นการตกอยู่ภายใต้อิทธิพลและการครอบงำของฝ่ายโลกตะวันตก และเห็นว่าหลายสิ่งหลายอย่างที่ได้เกิดขึ้นมีผลกระทบและบ่อนทำลายอัตลักษณ์ความเป็นตัวตน ศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์ ขนบธรรมเนียมประเพณีและวิถีชีวิตดั้งเดิม ทั้งหมดได้ส่งผลให้โลกเริ่มเกิดการแตกแยก เผชิญหน้า และขัดแย้งกัน
ในขณะเดียวกัน ก็มีหลายๆ ประเทศที่เริ่มไม่เห็นด้วย และไม่ยอมรับระบอบการเมืองแบบเสรีนิยมที่นำโดยฝ่ายตะวันตก ไม่ประสงค์ที่จะให้ฝ่ายตะวันตกเข้ามาโน้มน้าวสร้างอิทธิพลแทรกแซง ซึ่งก่อให้เกิดการต่อต้านฝ่ายตะวันตกขึ้นมาและขยายตัวไปยังประเทศต่างๆ ซึ่งคู่ขนานกันไปนั้น รัสเซียและจีนก็สามารถฟื้นฟูประเทศได้โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จีนได้ก้าวขึ้นมาเป็นเศรษฐกิจขนาดใหญ่เป็นที่สองของโลก ทำให้ทั้งสองประเทศต่างปฏิเสธที่จะตกเป็นเบี้ยล่างให้กับฝ่ายตะวันตกที่นำโดยสหรัฐอเมริกา
เมื่อผ่านมาจนบัดนี้ โลกจึงได้เห็นการแข่งขันชิงดีชิงเด่นกัน ระหว่างฝ่ายหนึ่งที่นำโดยสหรัฐอเมริกา ด้วยการอ้างเรื่องความเป็นประชาธิปไตย กับอีกฝ่ายหนึ่งที่นำโดยจีนและรัสเซีย ซึ่งเห็นว่าประชาธิปไตยมีหลายรูปแบบ และประชาธิปไตยแบบพรรคเดียวนำพา หรือประชาธิปไตยแบบผู้นำนำพานั้น ก็สามารถสร้างเสถียรภาพให้กับบ้านเมือง และนำมาซึ่งความเจริญก้าวหน้าทางด้านเศรษฐกิจ และวิถีชีวิตที่ดีได้
นอกจากทั้งสหรัฐฯ และจีนจะเดินหน้าทำการแข่งขันกันเพื่อความเป็นใหญ่ในโลกกว้างนี้แล้ว ทั้งคู่ก็ยังมีเรื่องบาดหมางกันในเรื่องวิธีการทำมาค้าขายกันอีกด้วย ซึ่งต่างฝ่ายก็มิได้รีรอที่จะดำเนินการต่อกร ต่อหมัด และโต้ตอบซึ่งกันและกัน ชนิดตาต่อตา ฟันต่อฟัน
เมื่อ 2 ยักษ์ใหญ่ทางการเมือง ความมั่นคง และเศรษฐกิจของโลกไม่ลงรอยกัน และพร้อมที่จะเอาแพ้เอาชนะกัน โลกก็เลยตกอยู่ในสภาวะตึงเครียด หวั่นไหว หวาดกลัว ต่อผลกระทบที่จะพึงตามมา อีกทั้งประเด็นปัญหาที่เป็นเรื่องของโลกโดยรวม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องโลกร้อน เรื่องโรคระบาด เรื่องการก่อการร้าย เรื่องความยากจนเหลื่อมล้ำ เรื่องอาชญากรรมข้ามชาติ และเรื่องผู้อพยพลี้ภัย ก็ต้องการความเป็นผู้นำของทั้งสหรัฐฯ และจีน มาร่วมกันช่วยแก้ หรือบรรเทาปัญหาต่างๆ แต่เมื่อประเทศพี่เบิ้มทั้งสองทะเลาะเบาะแว้งกันเอง ก็มีผลให้การแก้ปัญหาต่างๆ มีความชะงักงัน ไม่คืบหน้า
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น สหรัฐฯ และจีน ไปจนถึงรัสเซีย อังกฤษ และฝรั่งเศส ต่างก็มีพันธกรณีและหน้าที่ตามกฎบัตรและข้อตกลงต่างๆ ของสหประชาชาติ ที่จะต้องดำเนินการรับผิดชอบในเรื่องสันติภาพ ความมั่นคงและความเจริญก้าวหน้าของโลก เพราะประเทศทั้ง 5 ดังกล่าวนี้เป็นสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงสหประชาชาติ ที่จัดว่าเป็นองค์กรสูงสุดของสหประชาชาติ หรือของโลก ที่มีหน้าที่ดูแลความเป็นไป ขับเคลื่อน และแก้ไขประเด็นปัญหาต่างๆ ของโลก เป็นภาระหน้าที่ที่ชอบด้วยหลักกฎหมายและหลักธรรม และด้วยการยอมรับของประชาคมโลก แต่การที่ประเทศผู้รับผิดชอบของโลกมาแบ่งฝักแบ่งฝ่าย หรือมาทะเลาะเบาะแว้งกันเอง จนไม่ได้แก้ไขปัญหาให้ชาวโลก ก็จัดได้ว่าเป็นการละเว้นการปฏิบัติซึ่งหน้าที่ ละเว้นซึ่งความรับผิดชอบอันสูงส่งต่อส่วนรวมของโลก ซึ่งประชาชนพลเมืองโลกก็ไม่ควรจะอยู่นิ่งเฉย หรือก้มหน้ารับสภาพอย่างที่ผ่านมาอีกต่อไป ก็สมควรที่จะต้องออกมาเรียกร้องและประสานกับประชาชนพลเมืองของสหรัฐฯ ของจีน ของรัสเซีย ของอังกฤษ และของฝรั่งเศส ร่วมกันเรียกร้องให้ผู้นำของประเทศเหล่านี้ตั้งสติและทบทวนเรื่องราว และหันหน้าเข้าเจรจาหารือเพื่อหาทางออก และกลับสู่เส้นทางของการสร้างสันติภาพความมั่นคงและความเจริญก้าวหน้าให้กับมวลมนุษย์โลกเสียที
จุดเริ่มต้นที่สำคัญคือ ทั้งฝ่ายสหรัฐฯ และทางฝ่ายจีนก็ดี ควรได้ตระหนักว่า มันถึงเวลาแล้วที่จะต้องยอมรับว่า การที่จะเอาแต่ใจตัวเองเป็นที่ตั้ง การที่จะยึดมั่นถือมั่น และการที่จะเอาแต่ได้ฝ่ายเดียวนั้น มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ในสภาพแห่งความเป็นจริง ไม่ว่าจะในระดับบุคคล ท้องถิ่น หรือโลกกว้าง
ดังนั้น ควรจะได้หันกลับมามองว่า การออมชอมการมีสภาวะจิตใจที่จะถ้อยทีถ้อยอาศัยกันนั้นเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่งในโลกสมัยใหม่ และทุกฝ่ายมีภาระหน้าที่ที่จะต้องร่วมกันสร้างโลก มิใช่มุ่งหน้าประหัตประหารเอาชนะกันให้ราบคาบกันไป ซึ่งผลก็คือการร่วมกันทำลายสังคมโลกอย่างรวดเร็วชนิดที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์มนุษยชาติเฉกเช่นทุกวันนี้
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี