ข้อสงสัยในแวดวงการเมืองไทยที่ค้างคามาระยะหนึ่ง คือ 3 ป. อันได้แก่ ประยุทธ์ ประวิตร อนุพงษ์ (ป๊อก) จะยังร่วมกันเป็นหนึ่งเดียวกันอยู่ต่อไป หรือจะเดินแยกกันไปคนละทิศละทาง แต่ยังเป็นแนวร่วมกันอยู่ ดูจะมีความชัดเจนขึ้น ซึ่งล่าสุดได้มีการพูดกล่าวว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จะไปอยู่กับพรรครวมไทยสร้างชาติ โดยมีพลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา ติดสอยห้อยตามไปด้วย ในขณะที่ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณจะคงอยู่ และนำพาพรรคพลังประชารัฐต่อไป
ซึ่งการนี้มีนัยว่า ทั้งพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา และพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ จะมีชื่ออยู่ในรายชื่อที่พรรคของฝ่ายตน ในการเสนอชื่อเข้าชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีภายหลังการเลือกตั้งทั่วไป ที่จะมีขึ้นในช่วงครึ่งแรกของปี พ.ศ. 2566 ส่วนใครจะได้รับเสนอให้เป็นผู้สมัครชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีลำดับหนึ่งนั้น ก็คงจะขึ้นอยู่กับผลการเลือกตั้งว่า พรรคของฝ่ายใดจะได้รับคะแนนเสียงมากกว่ากันในการเลือกตั้งคราวหน้าดังกล่าว ซึ่งหากใครในสองคนนี้ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ก็จะมีเสียงสนับสนุนอยู่แล้วจากจำนวนสมาชิกวุฒิสภา 250 คน ซึ่งหมายความว่า ทั้งสองจะไม่เข้าไปชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีกันเอง แต่จะมีการหลีกทางกันให้โดยใช้ผลของการเลือกตั้งว่า พรรคของใครมีคะแนนมากกว่าเป็นตัวเกณฑ์กำหนด
แต่ทั้งนี้ก็ยังไม่ตัดความเป็นไปได้ที่ว่าพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ อาจจะย้ายตามพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา มาอยู่ที่พรรครวมไทยสร้างชาติ ในกรณีที่เห็นว่าพรรคพลังประชารัฐเดินหน้าต่อไปอีกไม่ได้แล้วและการผนึกกำลังกันที่พรรครวมไทยสร้างชาติที่มีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นผู้นำอย่างแท้จริง ก็น่าจะเสริมสร้างกำลังทัพ และคะแนนนิยมที่จะตามมาอย่างมากมายอีกด้วย หากเป็นเช่นข้อหลังนี้ ก็เท่ากับว่า พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ยอมรับสภาพความเป็นจริง หรือยอมรับข้อจำกัดของตนเอง และยอมเสียสละซึ่งความทะเยอทะยานของตนเอง เพื่อรักษาฐานและพละกำลังของฝ่ายตน (หรือนัยหนึ่งฝ่ายอนุรักษ์นิยมที่มีจุดเริ่มต้นจากคณะ คสช.) ไว้เพื่อจะได้ต่อกรกับฝ่ายที่อ้างว่า เป็นฝ่ายประชาธิปไตยหัวก้าวหน้า (ซึ่งที่จริงแล้วอาจเรียกได้ว่าเป็นฝ่ายประชาธิปไตยแบบประชานิยม) อันได้แก่ พรรคเพื่อไทย พรรคก้าวหน้า และพรรคเสรีประชาธิปไตย เป็นต้น สะท้อนนัยว่าทั้งพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา พลเอกประวิตรวงษ์สุวรรณ และพลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา ต่างก็ตระหนักกันแล้วว่า หากไม่สมานสามัคคี ถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน คือไม่มีความเป็นปึกแผ่น และจะนำมาซึ่งความพ่ายแพ้กันทั้งหมด ซึ่งเสมือนเป็นการ “ยกพาน” แห่งชัยชนะให้กับฝ่ายตรงข้ามแบบไร้การต่อสู้ และไร้ชั้นเชิงทางการเมือง
ถ้าหากรูปการณ์ดังกล่าวนี้เป็นจริงขึ้นมา ก็ต้องกล่าวชมเชยกันล่วงหน้าที่ พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่มิได้เอาความอยากและความทะเยอทะยานของตนเองเป็นที่ตั้งหากแต่เลือกเอาผลประโยชน์และความสำเร็จของพรรคพวก และพวกพ้อง และแนวร่วม เป็นที่ตั้ง
แต่ไม่ว่าจะเป็นรูปการณ์ใด ยังไงก็ดูเสมือนว่าพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ยังอยากเป็นนายกรัฐมนตรีไปให้ได้ให้นานที่สุด ฉะนั้นเมื่อถึงจุดหนึ่ง ก็คงจะไม่เป็นที่แปลกประหลาดใจในสังคมการเมืองไทย ที่จะมีผู้จุดพลุเรียกร้องให้มีการแก้ไขกฎเกณฑ์กติกาว่าด้วย วาระ 8 ปี ของผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เพื่อให้มีการปลดล็อกเงื่อนไข 8 ปีนี้ ให้นักการเมืองไทยหนึ่งใดสามารถดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไปได้เรื่อยๆ ตราบใดที่พรรคการเมืองของเขา และพรรคร่วมยังสามารถกุมชัยชนะการเลือกตั้งต่อไปได้
แต่ความพยายามดังกล่าวจะสามารถเป็นจริงได้หรือไม่ ก็ต้องขึ้นอยู่กับประชาชนพลเมืองไทยผู้เป็นเจ้าของประเทศ และเจ้าของคะแนนเสียงว่า จะยังคงพึงพอใจกับการบริหารประเทศของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา หรือไม่? และขนาดไหน? นั่นเอง
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี