จากกรณีที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง สนามหลวง ออกหมายจับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด และปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตกรณีเมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีกับพวก ใช้อำนาจโอน นายถวิล เปลี่ยนศรี เลขาธิการ สมช. ในขณะนั้นให้มาดำรงตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายข้าราชการประจำโดยมิชอบ เมื่อช่วงเดือน ก.ย. 2554
น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้ต้องหาตามหมายจับหลายคดี ทวีตข้อความผ่านทวิตเตอร์ Yingluck Shinawatra ระบุว่า “จากข่าวการออกหมายจับดิฉันจากการย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรี มีประเทศไทยประเทศเดียวที่นายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้ง ย้ายข้าราชการคนเดียว แล้วถูกดำเนินคดี #ถูกกลั่นแกล้งไม่จบ”
วันเดียวกัน เพจ CARE คิด เคลื่อน ไทย ก็เผยแพร่ความเห็นของ นายทักษิณ ชินวัตร หรือ โทนี่ วู้ดซัม ตอนหนึ่งว่า...
สมช.เป็นหน่วยงานที่ทำงานคู่กับนายกฯด้านความมั่นคง นายกฯต้องไว้ใจได้ ถ้าคนที่นายกฯไม่ไว้ใจ ต้องเปลี่ยน ส่วนใหญ่นายกฯจะมองหาทหารที่เข้าใจงานความมั่นคง แต่จุดอ่อนของ สมช.ในส่วนข้าราชการ คือ มักเก็บตัวเงียบ อย่างที่สหรัฐฯ เขามีระบบอุปถัมภ์ เขามีเจ้าหน้าที่จำนวนหนึ่งที่ให้ฝ่ายการเมืองเลือก เป็นเรื่องความไว้วางใจ เลขาฯสมช.เป็นตำแหน่งที่นายกฯต้องไว้ใจ ถ้าไม่ไว้ใจก็ต้องย้ายได้ นี่ก็เป็นเรื่องปกติ แต่ตอนนั้นผมคิดผิด ผมได้เลขาฯ สมช.มาเป็น เลขาฯ คมช.
ยิ่งลักษณ์ ย้ายถวิล ต้องถูก ป.ป.ช.สอบ และพ้นเป็นนายกฯ ถ้าจะหาเรื่องกัน ก็ควรเข้าท่ากว่านี้หน่อย นี่กลายเป็นเรื่องน่าขำทั่วโลก ทีประยุทธ์ย้ายตั้ง 80 คน นี่แหละบ้านเมืองไม่เป็นนิติรัฐ การลงทุนจากต่างประเทศลำบากมาก ถ้ายิงโอกาส ต้องยิงนัดเดียวได้นกหลายตัว คือ ต้องทำเขตเศรษฐกิจ จากฮ่องกงมาที่เรา แต่ลำบากที่ว่า จะทำยังไงให้กฎหมายเราเป็นสากล ถ้าเป็นสากล เขามาแน่ เมืองไทยของอร่อยเยอะ แต่กฎหมายไทยแบบนี้ เขาอยู่คือพัง ถ้าไม่เลิกเอากฎหมายมา
เล่นงานนะ มันสะท้อนการทำลายชาติทางอ้อม ทักษิณกล่าว
ในความเป็นจริงที่ไม่หน้าด้านหรือตลบตะแลง มีหลักฐานยืนยันว่า คดีนี้ยิ่งลักษณ์ได้ต่อสู้ตั้งแต่ศาลปกครองกลาง,ศาลปกครองสูงสุด จนถึงศาลรัฐธรรมนูญ และแพ้ทุกศาล
คำพิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญซึ่งผูกพันทุกองค์กรมีสาระสำคัญสรุปได้ว่า
1) กระบวนการเริ่มต้นจาก “สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี” ส่งหนังสือ “ลับมาก” ที่ นร. 0401.2/2418 ลงวันที่4 กันยายน 2554 ถึงรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (น.ส.กฤษณา สีหลักษณ์) แจ้งว่า เห็นควรให้ความเห็นชอบ และยินยอมการรับโอนนายถวิล เปลี่ยนศรี และดำเนินการขอทาบทาม ขอรับความเห็นชอบ และยินยอมจากรองนายกรัฐมนตรี (พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ) ในฐานะรัฐมนตรีเจ้าสังกัดของหน่วยงานที่ นายถวิล เปลี่ยนศรี สังกัดอยู่
2) ขณะเดียวกัน ก่อนที่ น.ส.กฤษณา สีหลักษณ์ จะพิจารณาให้ความเห็นชอบการโอนในวันที่ 5 กันยายน 2554 สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ก็ได้มีหนังสือลับมากที่ นร. 0401.2/8303 ลงวันที่ 4 กันยายน 2554 ถึงรองนายกรัฐมนตรี (พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ)แจ้งว่า รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (น.ส.กฤษณา สีหลักษณ์)ได้พิจารณาให้ความเห็นชอบและมีความประสงค์จะขอรับโอน นายถวิลเปลี่ยนศรี มาแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ฝ่ายข้าราชการประจำ ตำแหน่งเลขที่ 6 สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี สำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็น “ความเท็จ” เพราะเวลานั้น น.ส.กฤษณา ยังมิได้ “ให้ความเห็นชอบ”
3) ปรากฏหลักฐานการให้ความเห็นชอบการรับโอน นายถวิล เปลี่ยนศรี ของรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (น.ส.กฤษณา สีหลักษณ์) ในวันที่ 5 กันยายน 2554 จึงตอกย้ำว่าไม่ตรงกับข้อความที่เลขาธิการนายกรัฐมนตรีทำเสนอต่อ พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ ตามหนังสือลับมากที่ นร. 0401.2/8303 ลงวันอาทิตย์ที่ 4 กันยายน 2554 ที่ระบุว่า รัฐมนตรี กฤษณา สีหลักษณ์ ให้ความเห็นชอบ และยินยอมการรับโอนแล้ว ซึ่งไม่เป็นไปตามการปฏิบัติราชการตามปกติ จึงเป็นการแจ้งข้อความที่ไม่ถูกต้องตามความเป็นจริง หรือมีลักษณะเป็นการปกปิดความผิดสิ่งที่ควรแจ้งให้อีกฝ่ายทราบ เพื่อพิจารณายินยอมให้โอนแม้ต่อมาเมื่อวันที่ 5 กันยายน 2554 รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (น.ส.กฤษณา สีหลักษณ์) จะได้พิจารณาให้ความเห็นชอบก็ตาม
4) เป็นที่รู้กันโดยทั่วไปว่า วันที่ 4 กันยายน 2554 เป็นวันอาทิตย์ ซึ่งเป็นวันหยุดทำการประจำสัปดาห์ แต่การที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีได้มีหนังสือถึงรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (น.ส.กฤษณา สีหลักษณ์) และรองนายกรัฐมนตรี (พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ) เพื่อขอความเห็นชอบ และยินยอมให้โอน นายถวิล เปลี่ยนศรี
5) ปรากฎข้อเท็จจริงต่อมาว่า รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้มีหนังสือลับมากที่ นร.0401.2/8302 ลงวันที่ 5 กันยายน 2554 ถึงเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ขอให้นำเสนอคณะรัฐมนตรี เป็นวาระทราบจรในวันที่ 6 กันยายน 2554 โดยผู้ถูกร้อง (น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร) เป็นผู้อนุมัติให้นำเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรีตามที่เสนอ
6) ต่อมา สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี มีหนังสือลับมากที่ นร. 0508/18614 ลงวันที่ 6 กันยายน 2554 แจ้งว่า คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 6 กันยายน 2554 อนุมัติตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ และสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้ขอให้สำนักราชเลขาธิการ นำความกราบบังคมทูลเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ นายถวิล เปลี่ยนศรี พ้นจากตำแหน่งเดิม และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งใหม่ต่อไป
7) น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้มีคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 152/2554 ลงวันที่ 7 กันยายน 2554 ให้นายถวิล เปลี่ยนศรี ไปปฏิบัติราชการสำนักนายกรัฐมนตรี โดยให้ได้รับเงินเดือนทางสังกัดเดิมไปพลางก่อน โดยสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ได้มีหนังสือด่วนที่สุด ที่ นร. 0401.2/8402 ลงวันที่ 7 กันยายน 2554 แจ้งคำสั่งดังกล่าวให้นายถวิล เปลี่ยนศรี ทราบ
8) กระบวนการทั้งหมดนี้ ศาลเห็นว่า “...เป็นการดำเนินการอย่างเร่งรีบผิดสังเกต เป็นการกระทำโดยรวบรัด ปราศจากเหตุผลอันสมควร ที่จะต้องดำเนินการอย่างรวดเร็ว ทั้งยังปรากฏการให้ข้อมูลอันเป็นเท็จให้เห็นเป็นพิรุธ โดยปรากฏว่าภาพถ่ายเอกสารราชการสำคัญ ได้แก่ บันทึกข้อความของสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ที่ นร. 0401.2/8303 ที่ศาลมีคำสั่งเรียกมาจากสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ระบุวันที่ที่ทำหนังสือดังกล่าวเป็นวันที่ 5 กันยายน 2554 แต่ภาพถ่ายบันทึกข้อความฉบับเดียวกัน ที่ได้มาจากนายถวิล เปลี่ยนศรี ก่อนหน้านั้น ระบุวันที่ เป็นวันที่ 4 กันยายน 2554 ซึ่งแสดงว่าภาพถ่ายเอกสาร 2 ฉบับนี้ ต้องมีการแก้ไขวันที่ที่ทำเอกสารให้ผิดเพี้ยนไปจากความจริง โดยบุคคลใดบุคคลหนึ่ง เพื่อปกปิดความจริงที่มีความขัดแย้งกันอยู่ในกระบวนการขอความเห็นชอบนี้กรณีจึงส่อแสดงให้เห็นถึงความไม่เป็นปกติของการดำเนินการอันเป็นการพิรุธโจ่งแจ้ง จึงเป็นการดำเนินการที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย...”
9) เมื่อการกระทำดังกล่าว เป็นไปในทางเอื้อประโยชน์ให้ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ซึ่งเป็นญาติของผู้ถูกร้องมีโอกาสขึ้นดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ การกระทำของผู้ถูกร้องจึงมีลักษณะเป็นการใช้อำนาจในตำแหน่ง โดยมีผลประโยชน์ทับซ้อนและมีวาระซ่อนเร้น ถือว่าเป็นการกระทำโดยไม่สุจริต การดำเนินการดังกล่าว จึงไม่ชอบด้วยหลักนิติธรรม ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 3 วรรค 2 อีกประการหนึ่งด้วย
10) นอกจากนี้ ศาลยังวินิจฉัยเรื่อง “พิจารณาเหตุผลที่แท้จริงในการโอนย้าย นายถวิล เปลี่ยนศรี” ซึ่ง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อ้างว่า ตนในฐานะหัวหน้ารัฐบาลได้แถลงนโยบายในการบริหารประเทศต่อรัฐสภา โดยนโยบายความมั่นคงของรัฐ ถือเป็นนโยบายเร่งด่วน ที่จะต้องเร่งดำเนินการภายในปีแรกของการเข้าบริหารราชการแผ่นดิน และเป็นหน้าที่ของผู้ถูกร้องในการกำหนด หรือใช้ยุทธศาสตร์ที่เหมาะสม เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของนโยบายต่างๆ ที่ได้แถลงต่อรัฐสภา ดังนั้น ตนจึงมีความต้องการบุคลากรที่มีความรู้ ความสามารถ ความเชี่ยวชาญ ประสบการณ์ยาวนานในการปฏิบัติราชการ เกี่ยวกับความมั่นคง เพื่อมาช่วยปฏิบัติราชการในฝ่ายนโยบายให้บรรลุผลสัมฤทธิ์ของงานด้านความมั่นคงของประเทศ และเห็นว่า นายถวิล เปลี่ยนศรี ซึ่งดำรงตำแหน่งเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติมีคุณสมบัติครบถ้วน ตรงตามความต้องการสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี จึงมีหนังสือขอรับโอน ขอทาบทาม และขอรับความเห็นชอบให้โอน นายถวิล เปลี่ยนศรี มาดำรงตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายข้าราชการประจำ สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
11) เรื่องนี้ ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า ตำแหน่งเลขาธิการ สภาความมั่นคงแห่งชาติ คือ บทบาทหน้าที่และความรับผิดชอบมากกว่าตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี และเมื่อพิจารณาในภาพรวมการใช้อำนาจ ทั้งในบริหาร และบังคับบัญชาแล้ว ตำแหน่งเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ นอกจากต้องกำกับดูแล และบริหารราชการในหน่วยงานที่รับผิดชอบแล้ว ยังสามารถให้คำปรึกษาและเสนอแนะความเห็นแก่ผู้ถูกร้องได้ โดยไม่จำต้องแต่งตั้งให้นายถวิล เปลี่ยนศรี ไปดำรงตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี แต่อย่างใด
ส่วนตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีนั้น แม้จะมีหน้าที่ให้คำปรึกษาและเสนอแนะความเห็นแก่ผู้ถูกร้องก็ตาม แต่เมื่อพิจารณาสถานการณ์ปฏิบัติงานจริงแล้ว ย่อมไม่อาจใช้อำนาจบริหาร รวมถึงการบังคับบัญชาข้าราชการได้ ดังเช่น การดำรงตำแหน่งเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ เพราะตำแหน่งเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ เป็นตำแหน่งหัวหน้าส่วนราชการที่มีอำนาจ และหน้าที่อย่างกว้างขวาง ทั้งตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบ บริหารราชการแผ่นดิน และกฎหมายว่าด้วยสภาความมั่นคงแห่งชาติ แต่ตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายข้าราชการประจำนั้น มีเพียงหน้าที่ให้คำปรึกษา และเสนอแนะแก่ผู้บังคับบัญชา คือ รองนายกรัฐมนตรี (พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ)เฉพาะในงานที่ได้รับมอบหมายเท่านั้น
12) ศาลพิเคราะห์พฤติการณ์แล้ว เห็นว่า “... จึงมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่า ปัจจัยอันเป็นที่มาของการโอนนายถวิล เปลี่ยนศรีจากการดำรงตำแหน่งเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ไปดำรงตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายข้าราชการประจำ คือความประสงค์ให้ตำแหน่งเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ว่างลงเพื่อโอนย้ายผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ที่ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ดำรงอยู่ในขณะนั้น มาดำรงตำแหน่งแทน อันจะทำให้ตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ว่างลง เปิดโอกาสให้สามารถแต่งตั้งเครือญาติของผู้ถูกร้อง ขึ้นดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ แทน...”
13) ข้อเท็จจริงในชั้นไต่สวนรับฟังได้ว่า พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ในฐานะพยาน ได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2553 โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 2 กันยายน 2553 และมีกำหนดเกษียณอายุราชการในวันที่ 30 กันยายน 2556 ในขณะที่ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ มีกำหนดเกษียณอายุราชการในวันที่ 30 กันยายน 2555 ข้อเท็จจริงในขณะที่เป็นเหตุแห่งคำร้องนี้ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรียังมีอายุราชการคงเหลืออีก 2 ปี หากมีความต้องการให้ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ซึ่งมีกำหนดเกษียณอายุราชการก่อน พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ขึ้นดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้ ก็จะต้องมีการโอนให้ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรีไปดำรงตำแหน่งในส่วนราชการอื่นแทน
14) แต่เนื่องจากพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2547 มาตรา 62 บัญญัติว่า การโอนข้าราชการตำรวจไปรับราชการในส่วนราชการ หรือหน่วยงานอื่น จะกระทำได้ต่อเมื่อ เจ้าตัวสมัครใจ และส่วนราชการ หรือหน่วยงาน ต้องการจะรับโอนผู้นั้นโดยให้ส่วนราชการ หรือหน่วยงาน ที่ขอรับโอน ทำความตกลงกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งถึงแม้พยานจะรับสมอ้างว่าการโอนย้ายไปดำรงตำแหน่งเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ เป็นความสมัครใจของพยานเอง ตามพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2547 มาตรา 62 ก็ตาม แต่พยานก็ให้การด้วยว่า พยานตั้งใจจะปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาตินั้น จนครบเกษียณอายุราชการ แต่จะไม่ยึดติดกับตำแหน่งหน้าที่ราชการ และจะปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยคำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวมต่อประเทศชาติ ประชาชน และองค์กร โดยพร้อมที่จะปฏิบัติหน้าที่ตามนโยบายรัฐบาล ภายใต้กรอบกฎหมายและความถูกต้องซึ่งหากผู้บังคับบัญชาต้องการให้ปฏิบัติหน้าที่ราชการในตำแหน่งใดที่คิดว่าจะเกิดผลดี ก็พร้อมจะปฏิบัติตาม แสดงให้เห็นว่าการตัดสินใจของพยานนั้น ขึ้นอยู่กับความประสงค์ของผู้บังคับบัญชา ซึ่งก็คือนายกรัฐมนตรี ผู้ถูกร้องด้วย หากต้องการให้พยานไปปฏิบัติหน้าที่ราชการในตำแหน่งใด พยานก็พร้อมที่จะปฏิบัติตาม
15) ศาลสรุปว่า “...จึงเห็นได้ว่า การดำเนินการให้นายถวิล เปลี่ยนศรี พ้นจากตำแหน่งเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ และต่อมาก็ได้มีประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี ให้ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรีพ้นจากตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ตั้งแต่วันที่ 14 ตุลาคม 2554 แทนนายถวิล เปลี่ยนศรี ทำให้ตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติในขณะนั้น ว่างลงนั้น ก็ด้วยความประสงค์ที่จะให้มีการดำเนินการแต่งตั้งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคนใหม่...”
“...จึงมีเหตุให้เชื่อได้ว่า การกระทำของผู้ถูกร้อง(น.ส.ยิ่งลักษณ์) เป็นการกระทำเพื่อประโยชน์ของตนเองในทางการเมือง เพื่อประโยชน์ของผู้อื่น คือ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ซึ่งเป็นเครือญาติของผู้ถูกร้อง เข้ามาดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ อันเป็นการก้าวก่าย แทรกแซง การบรรจุ แต่งตั้ง การโยกย้าย และการให้ข้าราชการประจำพ้นจากตำแหน่งโดยตรง เนื่องด้วยปรากฏข้อเท็จจริงที่รู้กันโดยทั่วไปว่าพล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ เป็นพี่ชายของคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพ็ชร อดีตภริยาของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร พี่ชายของผู้ถูกร้อง (น.ส.ยิ่งลักษณ์) และเป็นลุงของหลานอา ของผู้ถูกร้อง ย่อมถือว่า พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ เป็นเครือญาติของผู้ถูกร้อง จึงมีเหตุให้เชื่อได้ว่า การกระทำของผู้ถูกร้องมิได้เป็นไปเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติ และของประชาชนแต่อย่างใด แต่เป็นการกระทำที่มีเจตนาอำพราง หรือแอบแฝง เพื่อประโยชน์ของตนเองหรือพวกพ้อง อันเป็นการกระทำที่ขาดจริยธรรม คุณธรรม และความถูกต้องชอบธรรม ในการใช้อำนาจหน้าที่ ภายใต้วัตถุประสงค์ของพระราชบัญญัติข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 ที่กำหนดหลักเกณฑ์ในการใช้อำนาจหน้าที่ของผู้บริหารงานบุคคลภาครัฐไว้ ซึ่งมีเจตนารมณ์ที่ชัดเจนว่า บริหารบุคคลโดยระบบคุณธรรม ราชการต้องปฏิบัติต่อข้าราชการด้วยระบบบริหารทรัพยากรบุคคลที่คำนึงถึงความรู้ ความสามารถ ความเสมอภาค ความเป็นธรรม ไม่เลือกปฏิบัติ ปราศจากอคติ และมีความเป็นกลางทางการเมือง
เมื่อพิจารณาพยานหลักฐานพฤติการณ์ทั้งปวงแห่งคดีประกอบกันแล้ว เห็นว่า การดำเนินการแต่งตั้ง โยกย้าย และให้นายถวิล เปลี่ยนศรี พ้นจากตำแหน่ง เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเดียวกัน และมีความเชื่อมโยงกันกับการบรรจุแต่งตั้งพล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ขึ้นดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ อันแสดงให้เห็นถึงการมีผลประโยชน์ทับซ้อน และมีวาระซ่อนเร้น โดยที่ผู้ถูกร้องได้เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง ถือได้ว่าเป็นการเข้าไปแทรกแซงและก้าวก่ายการแต่งตั้ง โยกย้าย หรือการให้พ้นจากตำแหน่งของข้าราชการ ซึ่งมีตำแหน่ง หรือเงินเดือนประจำ และมิใช่ข้าราชการการเมือง และเป็นไปประโยชน์ของผู้อื่น คือ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ซึ่งเป็นเครือญาติของผู้ถูกร้อง อันเป็นการกระทำที่ต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 268 ประกอบมาตรา 266(2) และ (3)
สำหรับข้ออ้างที่ผู้ถูกร้องได้อ้างในคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาว่าเป็นการกระทำตามที่กฎหมายให้อำนาจไว้นั้น เห็นว่ามิได้เป็นไปตามที่ผู้ถูกร้องกล่าวอ้าง โดยศาลปกครองสูงสุดได้วินิจฉัยไว้แล้วว่าผู้ถูกร้อง ในฐานะหัวหน้ารัฐบาล และในฐานะผู้บังคับบัญชาสูงสุดของข้าราชการประจำ ของราชการส่วนกลาง และราชการส่วนภูมิภาค ย่อมมีอำนาจดุลวินิจในการบริหารงานบุคคล หมุนเวียนสับเปลี่ยนบทบาท หรือการทำหน้าที่ของข้าราชการ เพื่อให้การบริหารราชการแผ่นดินเป็นไปตามแนวนโยบายที่ผู้ถูกร้องได้แถลงไว้ต่อรัฐสภาได้ แต่ในการใช้อำนาจดุลวินิจดังกล่าวของผู้ถูกร้องนั้นนอกจากจะต้องคำนึงถึงวัตถุประสงค์ของกฎหมาย และอยู่ภายใต้ขอบเขตของกฎหมายแล้ว ยังจะต้องมีเหตุผลรองรับที่มีอยู่จริง และอธิบายได้ ซึ่งไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าผู้ถูกร้องได้อ้างเหตุผลในการโอนนายถวิล เปลี่ยนศรี ว่า นายถวิล เปลี่ยนศรี ได้ปฏิบัติหน้าที่โดยไม่มีประสิทธิภาพ มีข้อบกพร่อง หรือไม่สนองนโยบายของรัฐบาล ซึ่งจะถือได้ว่ามีเหตุผลอันสมควรที่ผู้บังคับบัญชาสามารถสั่งโอนได้ตามความเหมาะสม จึงถือได้ว่าเป็นการใช้ดุลวินิจโดยมิชอบ อันเป็นเหตุแห่งความไม่ชอบด้วยกฎหมาย ประการหนึ่ง ตามมาตรา 9 วรรค 1(1) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครอง และวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542
ดังนั้น การโอนนายถวิล เปลี่ยนศรี จากตำแหน่งเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ มาแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายข้าราชการประจำ ตามประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี ลงวันที่ 30 กันยายน 2554 จึงเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
สรุป : เรื่องทั้งหลายจึงกระจ่างชัดด้วยคำพิพากษาศาลด้วยประการฉะนี้ !!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี