วิธีด้อยค่าคนแบบหนึ่งคือ การกล่าวหาว่าคนคนนั้นเป็นคนรุ่นเก่าที่เชย ล้าหลัง ไดโนเสาร์ ซึ่งวิธีนี้มักเกิดมาจากคนที่อ้างว่าตัวเองเป็นคนรุ่นใหม่ที่ฉลาดล้ำ นำหน้า ทันสมัยกว่าคนรุ่นเก่า ซึ่งมีอายุมากกว่าตนเอง
แต่ทว่าในขณะเดียวกัน คนรุ่นเก่าบางจำพวกก็ชอบด้อยค่าคนด้วยกันเองว่าเป็นคนหัวใหม่ ไม่มีความเข้าใจลึกซึ้งในความคลาสสิกโบร่ำโบราณ เป็นพวกไม่รู้ประสีประสา ไม่รู้เรื่องรู้ราว
อันที่จริง คนเรานั้นหากเกิดมาจนมีอายุมากกว่า 50 ปี ก็ต้องเรียกกว่าต้องผ่านการเป็นคนรุ่นใหม่มาก่อน แล้วเมื่ออายุมากขึ้นก็กลายเป็นคนรุ่นเก่าไปโดยปริยาย
มีคำถามว่าทำไมจึงมีปัญหาระหว่างคนรุ่นเก่ากับคนรุ่นใหม่ ทั้งๆ ที่คนรุ่นเก่าก็คือคนรุ่นใหม่มาเมื่อวันวาน ส่วนคนรุ่นใหม่นั้น ยังไม่แน่ใจว่าจะสามารถผ่านไปเป็นคนรุ่นเก่าได้หรือไม่ เพราะคนรุ่นใหม่จำนวนมิใช่น้อยก็ล้มหายตายจากไปก่อนจะได้รับการยอมรับว่าเป็นคนรุ่นเก่า
มีคำพูดของคนบางกลุ่มที่ฟังแล้วทะแม่งๆ คือ คนรุ่นเก่าต้องฟังความเห็น ความต้องการ ต้องฟังเสียงของคนรุ่นใหม่
อ้าวเฮ้ย! พูดอย่างนี้มันหมายความว่าคนรุ่นใหม่ไม่ต้องสนใจเสียงพูด และความต้องการขอ
คนรุ่นเก่าหรือ พูดแบบนี้มันพูดแบบเห็นแก่ได้ เห็นแก่ตัว พูดแบบคนใจแคบนี่หว่า อันที่จริงคนทุกรุ่นที่อยู่ร่วมกันในสังคมเดียวกันจะต้องฟังความเห็นและฟังความต้องการของกันและกัน ไม่ใช่บอกให้คนรุ่นหนึ่งฟังความต้องการของคนอีกรุ่นหนึ่ง เพราะไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่คนรุ่นไหนๆ จะมีความเห็นที่วิเศษวิโสเกินกว่าความเห็นของคนอีกรุ่นหนึ่ง
เพราะฉะนั้น ขอบอกว่าเวลาได้ยินคำพูดที่แสนดัดจริตจากคนบางจำพวกบอกว่า คนรุ่นเก่าต้องฟังคนรุ่นใหม่ ก็จึงต้องถามกลับโดยพลันว่า แล้วคนรุ่นใหม่จะไม่ฟังคนรุ่นเก่าบ้างหรือ
อันที่จริง คนแต่ละคนต้องฟังกันและกัน ไม่ว่าจะรุ่นใหม่หรือรุ่นเก่า เพราะคนทุกคนล้วนเป็นสมาชิกของสังคมด้วยกัน หากไม่มีคนรุ่นเก่า ก็ไม่มีคนรุ่นใหม่ และหากไม่มีคนรุ่นใหม่ สังคมก็ต้องจบลง เพราะไม่มีสมาชิกสังคมรุ่นต่อๆ ไปสืบสายเผ่าพันธุ์
คนรุ่นใหม่เคยถามตัวเองบ้างไหมว่าตนเองมาจากไหน แล้วทำไมคนรุ่นใหม่บางคนชอบกระแดะแดกดันคนรุ่นเก่าว่าโง่กว่าตนเอง เพราะไม่รู้ไม่เข้าใจความทันสมัยของเทคโนโลยีที่ล้ำหน้า พูดง่ายๆ คือคนรุ่นใหม่ที่ไร้ปัญญามักจะมองว่าตนเองฉลาดล้ำกว่าคนรุ่นเก่า เพราะแค่เพียงตนเองใช้เทคโนโลยีใหม่ได้ แต่คนรุ่นเก่าใช้เทคโนโลยีใหม่ไม่เป็น
คำถามคือใครเป็นคนผลิตเทคโนโลยีใหม่ขึ้นมา คนรุ่นใหม่ผลิต หรือว่ามันมาจากการผลิตคิดค้นของคนรุ่นก่อนหน้านั้น แล้วคนรุ่นใหม่ก็นำเทคโนโลยีที่คนรุ่นเก่าคิดค้นไว้แล้วไปต่อยอด ดังนั้น คนรุ่นใหม่ก็ไม่ควรจะอ้างว่าตนเองเป็นผู้ผลิตเทคโนโลยีใหม่ทั้งหมด เพราะในความเป็นจริงมันคือการนำของเดิมมาต่อยอด มาพัฒนา ดังนั้นจึงสมควรจะต้องมีความสำนึกในบุญคุณของคนรุ่นเก่าไว้บ้าง อย่าอ้างแบบไร้ความสำนึกว่าความทันสมัยทันหมดมันเกิดมาจากฝีมือของคนรุ่นใหม่ เพราะหากไม่มีการคิดค้นไว้โดยคนรุ่นเก่า ก็ไม่ต้องหวังว่าคนรุ่นใหม่จะมีปัญญาคิดค้นในเชิงต่อยอดได้
คนรุ่นใหม่มักอ้างว่าตนเองเป็นมนุษย์ในยุคดิจิทัล แต่คนที่บอกว่าตนเองเป็นมนุษย์ยุคดิจิทัลเคยถามบ้างไหมว่าพัฒนาการของยุคดิจิทัลมันมีประวัติความเป็นมาแรกเริ่มจากอะไร หรือจะอ้างว่าความเป็นดิจิทัลมันเกิดขึ้นมาพร้อมกับการอุบัติของคนรุ่นใหม่ โดยไร้รากฐานการคิดค้นพัฒนาจากคนรุ่นก่อนหน้านั้น
คนรุ่นใหม่จำนวนไม่น้อยในยุคนี้ ไม่มีวันเคยใช้วิทยุทรานซิสเตอร์ที่ใช้ถ่านไฟฉายเป็นแหล่งพลังงาน และก็ไม่เคยใช้วีดีโอเทป เทปคาสเซตต์ หรือเทปเรียล ไม่เคยใช้โทรศัพท์แลนด์ไลน์ หรือโทรศัพท์บ้านที่ต้องหมุนแป้นตัวเลขก่อนจะโทรฯ ออก และอาจไม่รู้จักโทรทัศน์ขาวดำ แม้กระทั่งโทรทัศน์สีแบบที่ต้องเสียบปลั๊กไฟฟ้าแล้วเปิดเครื่องรับโทรทัศน์ด้วยการเดินไปกดปุ่มหรือบิดสวิชต์เปิดปิดเครื่องรับโทรทัศน์ เนื่องจากคนรุ่นใหม่เกิดมาหลังจากสิ่งของเครื่องใช้ดังกล่าวมันถูกคนส่วนใหญ่เลิกใช้ไปแล้ว แต่ขอบอกว่าการที่ของดังกล่าวถูกเลิกใช้ในยุคนี้ มันไม่ได้หมายความว่าไม่เคยมีของที่ว่านั้นบนโลกใบนี้มาก่อน แต่ต้องย้ำว่ามันมีมาก่อนคนยุคใหม่จะลืมตาขึ้นมาดูโลก เพราะฉะนั้น คนรุ่นใหม่ก็ไม่ต้องกระแดะบอกว่า ของเหล่านั้นมันคร่ำครึ ล่าสมัย ไดโนเสาร์
อย่าลืมว่า โลกนี้มีไดโนเสาร์มาก่อนพวกคนรุ่นใหม่ แล้วคนรุ่นใหม่ก็ต้องสำเหนียกไว้ด้วยว่าไดโนเสาร์เคยครองโลกใบนี้มาก่อน แต่สุดท้ายแล้วก็หมดยุคของไดโนเสาร์ แต่ถึงกระนั้นก็ต้องไม่ลืมความจริงว่า แม้จะเป็นไดโนเสาร์ ก็ยังมีไดโนเสาร์รุ่นเก่าและรุ่นใหม่ ไม่เคยปรากฏว่าโลกในยุคโบราณมีแต่ไดโนเสาร์รุ่นใหม่ละอ่อนโดยปราศจากไดโนเสาร์รุ่นก่อน เพราะฉะนั้น คนรุ่นใหม่ก็ไม่ต้องชะล่าใจว่า วันหนึ่งตนเองจะไม่ถูกคนรุ่นต่อๆ ไปมองหรือเรียกพวกของตนเองว่าเป็นไดโนเสาร์ เต่าล้านปี
แต่จะว่าไปแล้ว คนรุ่นใหม่ที่เป็นคนรุ่นใหม่จริงๆ ที่แสดงอาการหยามเหยียด ดูแคลนคนรุ่นเก่าว่าเชย โบราณ คร่ำครึ ก็ยังไม่ดัดจริตเท่ากับคนรุ่นเก่า อายุ 80-90 ปี ที่พยายามทำตัวให้เป็นคนรุ่นใหม่ แล้วกลับไปเหยียดหยามคนรุ่นเดียวกับตัวเองว่าเป็นคนเชย ล้าสมัย ไดโนเสาร์ คนรุ่นเก่าที่ดัดจริตทำตัวกลมกลืนกับคนรุ่นใหม่ แล้วบอกให้คนรุ่นเก่าที่อายุพอๆ กับตัวเองให้ต้องเปิดใจให้กว้าง ต้องยอมรับความต้องการของคนรุ่นใหม่ ต้องยอมให้คนรุ่นใหม่เป็นผู้นำสังคม เพราะสังคมในยุคต่อไปจะอยู่ในความดูแลของคนรุ่นใหม่ เมื่อเจอคนรุ่นเก่าแบบนี้ ก็ต้องขอบอกตรงๆ ว่าดัดจริต และมิใช่ดัดจริตแบบธรรมดา แต่ดัดจริตมากเกินงาม
ขอถามคนรุ่นเก่าที่พยายามประดิษฐ์วาจาให้น่าสรรเสริญว่า ทำไมคนรุ่นเก่าต้องยอมให้คนรุ่นใหม่นำสังคม ทั้งๆ ที่คนรุ่นเก่าก็ยังมีจำนวนมากมายมหาศาล เรียกว่ามีจำนวนมากกว่าคนรุ่นใหม่ด้วยซ้ำไป อะไรคือเหตุผลที่คนรุ่นเก่าต้องเดินตามคนรุ่นใหม่ แค่ข้ออ้างว่าโลกยุคอนาคตจะอยู่ในความดูแลของคนรุ่นใหม่เท่านั้นเองหรือ ข้ออ้างเท่านี้เพียงพอหรือ
อันที่จริง ก็พอจะยอมรับความคิดที่บอกว่าคนรุ่นเก่าต้องยอมทำตามคนรุ่นใหม่ หรือต้องยอมให้คนรุ่นใหม่เป็นผู้นำสังคมได้บ้าง หากคนรุ่นเก่าต้องมีสถานะเป็น underdog หรือเป็นผู้ต้องคอยรอรับความช่วยเหลือทั้งหลายทั้งปวงจากคนรุ่นใหม่ในทุกๆ ด้าน โดยที่คนรุ่นเก่าไม่มีปัญญาดูแลและช่วยเหลือตนเองแม้แต่น้อย แต่ถ้าหากคนรุ่นเก่ายังสามารถดูแลตนเองได้ดียังทำงานทำการ ยังสร้างผลิตผลให้สังคมได้ดี และไม่ต้องรอรับความช่วยเหลือใดๆ จากคนรุ่นใหม่ แถมยังเป็นผู้ที่ให้การอุปการะคนรุ่นใหม่ได้อีกด้วย หากเป็นเช่นนี้แล้ว มีความจำเป็นใดหรือที่คนรุ่นเก่าต้องยอมให้คนรุ่นใหม่เป็นผู้นำสังคม และมีความจำเป็นอันใดที่คนรุ่นเก่าต้องปล่อยสังคมทั้งหมดให้อยู่ในการตัดสินใจของคนรุ่นใหม่
คนรุ่นเก่ากับคนรุ่นใหม่ต้องอยู่ร่วมกันในสังคม โดยไม่มีวันที่คนรุ่นใดรุ่นหนึ่งจะครอบครองสังคมได้โดยดุษณี และไม่มีวันที่สังคมจะอยู่โดยปราศจากการอยู่ร่วมกันของคนทั้งสองรุ่น เพราะฉะนั้น เลิกพูดเถอะว่าต้องให้คนรุ่นเก่าปกครองสังคม หรือต้องปล่อยให้คนรุ่นใหม่ดูแลสังคม เพราะในความจริงนั้นทั้งสองรุ่นต้องช่วยกันดูแลสังคมด้วยกัน ไม่ปล่อยให้เป็นภาระของคนรุ่นใดรุ่นหนึ่งเท่านั้น
ส่วนที่บอกว่าคนรุ่นใหม่ไม่ฟังคนรุ่นเก่า หรือคนรุ่นเก่าไม่ฟังคนรุ่นใหม่ คำถามคือ ทำไมจึงไม่ฟังกันและกัน ทั้งๆ ที่อยู่ด้วยกันในสังคมเดียวกัน แต่อันที่จริง ก็ไม่ประหลาดใจนัก เพราะคนรุ่นเดียวกันก็ไม่ฟังกันอยู่บ่อยๆ ไป เพราะเราได้เห็นเสมอๆ ว่าคนรุ่นเดียวกันก็พูดกันไม่รู้เรื่อง พูดกันไม่เข้าใจ พูดกันไม่รู้ความ ดังเห็นเป็นประจำว่าคนรุ่นเก่าก็ตีกันเอง และคนรุ่นใหม่ก็ตีกันเองด้วย เพราะฉะนั้น การที่คนด้วยกันเองแต่ทว่าคุยกันไม่รู้เรื่อง พูดกันไม่รู้ความไม่ใช่เรื่องที่เกิดเฉพาะคนรุ่นเก่ากับรุ่นใหม่เท่านั้น แต่มันเกิดจากการไม่ฟังซึ่งกันและกันมากกว่า คนที่ไม่ฟังซึ่งกันและกันก็ย่อมต้องตีกันตลอดเวลาไม่ต้องอ้างเรื่องคนรุ่นใหม่และรุ่นเก่าให้เสียเวลา
สังคมและประเทศก็เปรียบเสมือนบ้านของคนทุกรุ่นที่ต้องอยู่ร่วมกัน ต้องอาศัยอยู่ด้วยกัน เราจะแบ่งสังคมแบ่งประเทศว่าส่วนนี้เป็นของคนรุ่นใหม่ และอีกส่วนเป็นของคนรุ่นเก่าได้หรือ เปรียบเสมือนบ้านหลังเดียวกัน มีบันไดขึ้นชั้นสองของบ้านเพียงบันไดเดียว คนรุ่นใหม่จะรื้อบันไดที่คนรุ่นเก่าใช้เป็นประจำออก แล้วสร้างบันไดลิงขึ้นชั้นสอง โดยอ้างว่าบันไดเดิมมันกินเนื้อที่ ไม่ทันสมัย ไม่เท่ แล้วรื้อบันไดออกโดยพลการ หากเป็นเช่นนี้ ถามว่าคนรุ่นเก่าที่ไม่เห็นด้วยจะต้องยอมให้คนรุ่นใหม่รื้อบันไดเดิมออกหรือ แน่นอนว่าคนรุ่นใหม่อาจใช้บันไดลิงได้ถนัดกว่าคนรุ่นเก่า แต่คำถามคือ ก็ในเมื่อบ้านหลังนั้นเป็นบ้านที่คนรุ่นเก่าสร้างไว้ แล้วคนรุ่นใหม่มีสิทธิ์อะไรไปรื้อของเก่าที่คนรุ่นเก่ายังเห็นความจำเป็นและต้องใช้ หากคนรุ่นใหม่จะทำอะไรตามที่ตนเองต้องการก็ต้องไปสร้างบ้านหลังใหม่ด้วยความสามารถของตนเอง ไม่ใช่อ้างความต้องการของตนเองแล้วดันไปรื้อสิ่งของต่างๆ ในบ้านหลังเก่าที่ตนเองไม่ได้เป็นผู้ก่อสร้าง แต่ดันอ้างว่าบ้านหลังนั้นจะต้องตกเป็นของตนในอนาคต จึงรื้อบ้านโดยพลการ หากเป็นแบบนี้ก็ไม่มีทางที่คนรุ่นเก่าจะยอมรับได้ เพราะมันเป็นสมบัติโดยชอบธรรมของคนรุ่นเก่า ส่วนคนรุ่นใหม่เป็นแค่เพียงทายาทผู้อาศัยเท่านั้น
แต่หากคนรุ่นใหม่มีปัญญาสร้างบ้านใหม่ของตนเอง แล้วจะทำให้บ้านมีความเป็นไปต่างๆ ตามความต้องการของตน ก็เป็นเรื่องและเป็นสิทธิ์ของคนรุ่นใหม่ เพราะเป็นบ้านที่เกิดจากความสามารถของเขา แต่หากคนรุ่นใหม่จะชวนคนรุ่นเก่าไปอยู่บ้านหลังใหม่ของตนเองด้วย ก็ต้องถามว่าคนรุ่นเก่ามีความสะดวกสบายกับการอยู่ในบ้านหลังใหม่หรือไม่ หากคนรุ่นเก่าไม่สะดวกสบายกับการอยู่บ้านหลังใหม่ซึ่งเป็นสมบัติโดยชอบธรรมของคนรุ่นใหม่ ก็ต้องยอมรับว่าตนเองเป็นเพียงผู้อยู่อาศัย จึงไม่ควรจะเข้าไปก้าวก่าย แทรกแซงเรื่องราวใดๆ ในบ้านหลังใหม่ เพราะบ้านหลังนั้นไม่ใช่สมบัติของคนรุ่นเก่า แต่มันคือสมบัติของคนรุ่นใหม่ หากคนรุ่นเก่าไม่สะดวกกับการอยู่บ้านหลังใหม่ ก็อย่าไปอยู่บ้านหลังใหม่ ก็สิ้นเรื่อง
แต่ประเทศชาติบ้านเมืองมันไม่ใช่บ้านหลังใหม่หลังเก่า มันคือบ้านหลังเดิมที่มีมานาน แต่จำเป็นต้องปรับปรุง ซ่อมบำรุงบ้านให้อยู่ในสภาพดีเหมาะกับการอยู่อาศัยและใช้งานของคนทุกคนในบ้าน คนรุ่นใหม่จะซ่อม หรือเปลี่ยนแปลงบ้านหลังเดิมตามใจตัวเอง โดยไม่ฟังความเห็นคนรุ่นเก่า ก็เป็นเรื่องไม่สมควร ส่วนคนรุ่นเก่าจะบังคับให้คนรุ่นใหม่ต้องทำบ้านให้เหมือนเดิมทุกประการโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยก็ไม่สมควรอีกเช่นกัน ยกเว้นว่าการซ่อมแซมบ้านต้องใช้เงินจากคนรุ่นเก่า โดยคนรุ่นใหม่ไม่มีปัญญาช่วยออกเงินค่าซ่อมบำรุงแม้แต่บาทเดียว หากเป็นแบบนี้ คนรุ่นใหม่ก็ต้องยอมให้คนรุ่นเก่ามีอำนาจตัดสินใจเหนือกว่า ยกเว้นคนรุ่นใหม่ประกาศไปเลยว่าไม่ต้องการอยู่บ้านหลังเก่าของคนรุ่นเก่า และจะไปสร้างบ้านหลังใหม่ด้วยเงินและแรงของตนเอง ถ้าเป็นเช่นนั้น ก็เชิญคนรุ่นใหม่ตามสบาย แล้วคนรุ่นเก่าก็ต้องไม่เข้าไปเจ้ากี้เจ้าการ แทรกแซงการตัดสินใจใดๆ ของคนรุ่นใหม่ หากคนรุ่นใหม่ไม่ได้ขอความเห็นหรือขอคำแนะนำใดๆ ก็ต้องปล่อยให้เขาตัดสินใจเอาเอง เพราะมันเป็นเรื่องของเขา เป็นเงินของเขา และเป็นสมบัติของเขา
แต่หากคนรุ่นใหม่ตัดสินใจสร้างบ้านหลังใหม่ตรงที่ซึ่งเป็นทางระบายน้ำฝนจากภูเขา โดยคนรุ่นใหม่ไม่เคยทราบมาก่อนว่าตรงนั้นเป็นทางระบายน้ำ เรื่องเช่นนี้จำเป็นที่คนรุ่นเก่าซึ่งมีประสบการณ์มาก่อนต้องบอกคนรุ่นใหม่ให้ทราบถึงปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคต แต่หากบอกแล้ว คนรุ่นใหม่ไม่สนใจ ไม่ฟัง ก็ต้องปล่อยให้คนรุ่นใหม่เผชิญปัญหาด้วยตัวเอง เพราะเตือนแล้วไม่ฟัง แต่หากคนรุ่นเก่ารู้ปัญหาที่จะเกิดขึ้นเป็นอย่างดี แต่ไม่ตักเตือนคนรุ่นใหม่ แบบนี้ก็ถือว่าคนรุ่นเก่าบกพร่อง และมีเจตนาไม่บริสุทธิ์ต่อคนรุ่นใหม่ เพราะคนรุ่นใหม่ไม่มีประสบการณ์เรื่องนั้นๆ มาก่อน แต่ก็ต้องย้ำว่าหากคนรุ่นเก่าเตือนด้วยเหตุด้วยผลแล้วคนรุ่นใหม่ไม่ฟัง ก็ถือเป็นความรับผิดชอบของคนรุ่นใหม่โดยสมบูรณ์ ครั้นเมื่อวันหนึ่งวันใดที่คนรุ่นใหม่ประสบปัญหาหรือภัยพิบัติก็ไม่ต้องโทษคนรุ่นเก่า เพราะเขาเตือนแล้ว แต่กลับไม่ฟัง
คนรุ่นเก่าไม่จำเป็นต้องบอกว่าคนรุ่นใหม่มองโลก และมีพฤติกรรมต่างไปจากคนรุ่นเก่า เพราะยุคสมัยมันต่างกัน การมองโลกและพฤติกรรมก็จึงต่างกัน คนรุ่นเก่าต้องไม่บังคับให้คนรุ่นใหม่ทำเหมือนตัวเอง แต่ต้องให้ความรู้กับคนรุ่นใหม่ เพื่อให้คนรุ่นใหม่สามารถอยู่ในโลกของเขาได้อย่างมั่นคงและปลอดภัย ไม่ต้องไปบอกว่ารุ่นฉัน ฉันทำแบบนี้ ทำไมเธอไม่ทำแบบฉัน เพราะรุ่นฉันกับรุ่นเธอนั้นมันต่างยุคต่างสมัยกัน จึงไม่สามารถทำเหมือนก้นได้ในทุกๆ เรื่องทุกๆ ราว แต่สิ่งหนึ่งที่คนรุ่นใหม่และเก่าจำเป็นต้องมีเสมอคือ การเห็นอกเห็นใจกันและกัน การเคารพกันและกัน คนรุ่นใหม่ไม่ต้องตอบด้วยการกวนอารมณ์คนรุ่นเก่าว่า รุ่นเก่ามันตกยุคไปแล้ว แต่คนรุ่นเก่าต้องเข้าใจคนรุ่นใหม่ในแง่ที่ว่ายังอ่อนด้อยไร้ประสบการณ์ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องอบรมสั่งสอนคนรุ่นใหม่ด้วยเหตุและผล ส่วนคนรุ่นใหม่ก็ต้องสำเหนียกไว้ว่าตนเองยังด้อยและไร้ประสบการณ์ เพราะฉะนั้นจึงต้องรับฟังคำแนะนำของคนรุ่นเก่าด้วย แต่ฟังแล้วก็ไม่จำเป็นต้องเถียงตลอดเวลา เพราะสิ่งที่คนรุ่นเก่าบอกนั้น มันคือประสบการณ์จริงที่เขาผ่านพบมาแล้ว ส่วนคนรุ่นใหม่ยังไม่เคยผ่านประสบการณ์ใดๆ มาก่อน เพราะฉะนั้นจึงต้องฟังแล้วนำไปใคร่ครวญว่าจะนำไปปรับประยุกต์ใช้กับชีวิตของตนให้เกิดประโยชน์สูงสุดอย่างไร
ความได้เปรียบอย่างหนึ่งของคนรุ่นเก่าคือเคยเป็นเด็กมาก่อนและมีประสบการณ์มากกว่าคนรุ่นใหม่ ดังนั้นคนรุ่นเก่าจึงต้องมีความเมตตาและมีความใจเย็นต่อคนรุ่นใหม่ให้มาก แม้จะถูกคนรุ่นใหม่เย้ยหยันมากสักเพียงใด ก็จำเป็นต้องยึดมั่นในหลักขันติธรรม เพราะต้องระลึกไว้เสมอว่า เพราะเขาเป็นเด็ก ไร้ประสบการณ์ เขาจึงคิดและเชื่อ และทำแบบนี้ แล้วก็ต้องบอกตัวเองว่า เมื่อวันที่เราเคยเป็นเด็ก เราก็อาจจะมีความคิด ความเชื่อและพฤติกรรมไม่ต่างไปจากเด็กรุ่นใหม่ แต่เพราะเราเติบโตขึ้น มีประสบการณ์มากขึ้น เราจึงเห็นโลกมามากกว่าเด็ก เข้าใจโลกมากกว่าเด็ก ดังนั้นในฐานะคนรุ่นเก่าจึงต้องมีเมตตาธรรมต่อเด็กให้มาก
พูดถึงการกล้าแสดงออกของคนรุ่นใหม่ เรื่องนี้จะบอกว่าดีหรือเลวก็คงไม่ได้ เพราะขึ้นอยู่กับมุมมองและการแสดงออกในด้านต่างๆ การแสดงออกของเด็กก็คือการมองโลกแบบเด็ก มันไม่เหมือนก้บการมองโลกในสายตาของผู้ใหญ่ที่อายุมากกว่า แต่สิ่งสำคัญที่ต้องมีอยู่ในใจของผู้ใหญ่คือ ต้องให้โอกาสเด็ก แต่หากเด็กกำลังกระทำในสิ่งที่เป็นอันตรายต่อตัวของเด็ก ผู้ใหญ่ก็ต้องตักเตือนและห้ามปราม แต่หากเตือนแล้ว ห้ามแล้ว เด็กไม่ฟัง ผู้ใหญ่ก็ต้องวางอุเบกขา เพราะถือว่าทำดีที่สุดแล้ว ชีวิตเป็นของเขา เราไปกำหนดชีวิตให้เขาไม่ได้ เพราะเขามีสิทธิ์เลือกทางเดินของต้วเอง แต่หากเราปล่อยให้เขาเลือกเดินแล้ว โดยเขาไม่ฟังเรา แต่ทว่าวันหนึ่งเขาพลาดพลั้งแล้วกลับมาหาเรา เราซึ่งเป็นผู้ใหญ่กว่าก็ต้องให้อภัยเขา และให้กำลังใจเขา และสอนให้เขารู้ว่า การไม่ฟังคำเตือนที่หวังดีของผู้ใหญ่ส่งผลเสียร้ายแรงอย่างไรต่อเขา
สรุปว่า สังคมของเราประกอบไปด้วยคนรุ่นใหม่และรุ่นเก่าเสมอ ไม่มีสังคมไหนที่มีแต่คนรุ่นใดรุ่นหนึ่งเท่านั้น ดังนั้นคนสองรุ่นจึงต้องหันหน้าเข้าหากัน แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันและกัน และรับฟังกันและกัน ไม่ควรจะบอกว่า สังคมนี้เป็นของเด็ก ปล่อยให้เด็กจัดการไป เพราะคำพูดดังกล่าวมันแสนดัดจริต จะให้เด็กจัดการสังคมโดยลำพังได้อย่างไร ในเมื่อสังคมนี้ยังมีคนแก่เป็นจำนวนมากอยู่ในสังคม
เพราะฉะนั้นใครก็ตามที่ดัดจริตบอกว่า ต้องให้เด็กจัดการกับสังคม เพราะเขาคือผู้ดูแลสังคมในอนาคต ก็ต้องบอกว่าจะพูดแบบนั้นได้ก็ต่อเมื่อสังคมปราศจากคนแก่ แล้วขอถามทิ้งท้ายว่าทุกวันนี้เด็กหรือคนแก่ คนกลุ่มไหนมีจำนวนมากกว่ากันในสังคมไทย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี