การเลือกตั้งทั่วไปที่ประเทศมาเลเซีย (ราชอาณาจักร) เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2565 ผลปรากฏว่าไม่มีพรรคใดมีเสียงเกินกึ่งหนึ่งของจำนวนเต็มของที่นั่งในรัฐสภา จึงไม่มีพรรคใดสามารถตั้งรัฐบาลได้โดยอัตโนมัติ จึงจำเป็นที่พรรคการเมืองต่างๆ จะต้องเจรจาหารือและต่อรองกันว่า จะมีกี่พรรคใดที่จะร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลผสมได้
แต่แล้วก็ไม่ประสบผลสำเร็จ เพราะต่างก็ไม่มีใครยอมใคร การเมืองมาเลเซียภายหลังการเลือกตั้งจึงอยู่ในสภาวะชะงักงัน สับสน ไม่แน่นอน และไร้เสถียรภาพหากยืดเยื้อต่อไป ไม่มีผู้ใดคาดเดาได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เช่น การออกมาประท้วงของฝ่ายต่างๆ และถ้าถึงขั้นรุนแรงก็อาจจะต้องมีการประกาศการใช้กฎอัยการศึก หรือกฎหมายว่าด้วยภาวะฉุกเฉินก็ได้
อย่างไรก็ดี การณ์ก็มิได้เป็นไปในเชิงลบเช่นนั้นเพราะกษัตริย์มาเลเซียไม่ทรงประสงค์ที่จะได้เห็นสภาพบ้านเมืองยุ่งเหยิง ขาดความแน่นอน และไร้ทิศทางจึงได้ใช้พระราชอำนาจตามตัวบทกฎหมายที่จะคลี่คลายปมการเมืองให้ลุล่วงไปได้ด้วยดี
กษัตริย์มาเลเซียทรงมีพระราชอำนาจที่จะแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี และเมื่อบรรดาพรรคการเมืองต่างๆ ไม่สามารถตกลงกันได้ว่า จะเสนอผู้ใดขึ้นทูลเกล้าฯถวายแด่องค์พระมหากษัตริย์ พระองค์ท่านก็มิได้ทรงอยู่นิ่งเฉยเพื่อหาหนทางออก และในการนี้ก็ได้ทรงดำเนินการ
1. เชิญหัวหน้าพรรคการเมืองต่างๆ เข้าเฝ้า เพื่อรับฟังความคิดเห็น และปรึกษาหารือ
2. ทรงนำผลการหารือกับบรรดาพรรคการเมืองต่างๆ เข้าสู่ที่ประชุมคณะสุลต่าน องค์ประมุขของรัฐต่างๆ ของมาเลเซีย เพื่อทรงปรึกษาหารือ
3. ผลปรากฏว่า ได้มีการเห็นพ้องให้มีการจัดตั้งคณะรัฐบาลแห่งเอกภาพ หรือความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน (Unity government) โดยมี นายอันวาร์ อิบราฮิม หัวหน้าพรรคปากาตัน ฮาราปัน เป็นนายกรัฐมนตรี
ในการนี้เรื่องก็เป็นอันยุติ ประชาชนพลเมืองและพรรคการเมืองทุกพรรคยอมรับซึ่งผลการวินิจฉัยดังกล่าวว่าเป็นที่สุดและชอบด้วยกฎหมาย การเมืองมาเลเซียกลับเข้าสู่สภาวะปกติ บ้านเมืองสงบและพร้อมที่จะก้าวไปข้างหน้าได้
ส่วน นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีคนใหม่ของมาเลเซียนั้น แม้ว่าจะได้รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีด้วยชอบแล้ว แต่ก็มีความประสงค์ที่จะเสริมสร้างความชอบธรรมและการยอมรับของสังคม เพื่อการประกาศว่า เมื่อมีการเปิดสมัยประชุมรัฐสภาชุดใหม่ครั้งแรกในเดือนธันวาคมนี้ก็จะนำนโยบายบริหารประเทศไปเสนอต่อที่ประชุมรัฐสภา เพื่อลงมติให้ความเห็นชอบ และเสริมสร้างความชอบธรรม
ความเป็นไปในเหตุการณ์การเมืองที่มาเลเซียดังกล่าวนี้ ก็คงจะเป็นข้อคิดและแบบปฏิบัติให้กับหลายๆ ประเทศที่เมื่อต้องเผชิญกับความชะงักงันของสภาวะการเมืองแล้ว นิยมหาทางออกกันด้วยการปฏิวัติรัฐประหารโดยฝ่ายกองทัพ นำเอาอำนาจอธิปไตยเข้ามาอยู่ในมือของตนเอง โดยไม่คำนึงว่ากองทัพนั้นมิใช่ผู้มีอำนาจสูงสุด
ในกรณีของราชอาณาจักรมาเลเซีย เรื่องได้ไปยุติหรือจบลงด้วยดีที่องค์ประมุขของประเทศ เพราะเป็นพระราชอำนาจที่ชอบด้วยประการทั้งปวงองค์ประมุขหรือองค์พระมหากษัตริย์ทรงเป็นผู้ดูแลทุกข์สุข และในยามวิกฤตพระองค์ท่านก็ต้องเป็นป้อมปราการ หรือด่านสุดท้ายที่จะทรงวินิจฉัยแก้ไขปัญหาบ้านเมืองให้เป็นที่สุด ไม่มีผู้อื่นใดที่จะทำการแทน หรือแอบอ้างไปทำการแทน หรือไปฉวยโอกาสทำการแทนได้
สังคมไทยเราก็ควรที่จะต้องพินิจพิจารณาความเป็นไปที่ราชอาณาจักรมาเลเซียดังกล่าว จะถูกนำมาเป็นกรณีศึกษา เพื่อให้ราชอาณาจักรไทยเราจะได้ไม่ต้องเห็นการเคลื่อนกองกำลังรถถังเข้ามาในสนามการเมืองไทยอีกในอนาคต
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี