ในที่สุด “ไม่มีมิตรแท้ และศัตรูถาวรกับนักการเมือง” ก็พิสูจน์ให้เห็นอีกครั้ง จริงๆอาจใช้ว่า “อย่าเห็นขี้ดีกว่าไส้” ก็ย่อมได้ กับกรณีการกลับมาหลอมรวมกันอีกครั้งของ “อุตตมสาวนายน, สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ และ สมคิดจาตุศรีพิทักษ์” ซีกหนึ่งกับ “ลุงป้อม-พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ” หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ “ตั้วเหี่ีย” ที่ปวารณาตัวมุ่งมั่นจะเป็น นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทย หลังจากเกิดปฏิวัติสยาม เมื่อปี พ.ศ. 2475 ก่อนที่จะเกิดดีลรวมพรรคกับไทยสร้างไทยของ “หญิงหน่อย-สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์”
ก่อนหน้านี้นักการเมืองฝ่ายค้านพยายามสำรอกสำรากแซะแทะมาตลอดว่า “พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ”เฒ่าชะแล แก่ชราจะเล่นการเมืองจะบริหารประเทศไหวหรือ
ตั้งแต่เมื่อครั้งบุญตกใส่ศีรษะผู้เฒ่ากรณีองค์คณะ “ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ” ลงมติเสียงข้างมาก 5 ต่อ 4 ให้ “ลุงตู่-พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรี หยุดปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี ในระหว่างที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาคดีที่พรรคร่วมฝ่ายค้านยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยความเป็นนายกรัฐมนตรีของ “ลุงตู่” สิ้นสุดลง ตามมาตรา 170 วรรคสองและมาตรา 158 วรรคสี่ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 เนื่องจากดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเกินกว่า 8 ปี นับแต่วันที่ 25 สิงหาคม 2565 จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย ทำให้ “ลุงป้อม-พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ” ขึ้นมารักษาการนายกรัฐมนตรีโดยทันที
แต่ด้วย “ใจบันดาลแรง” ทำให้ “ลุงป้อม-พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ” สวมวิญญาณชายชาติทหารอดทนบากบั่นลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมโครงการต่างๆ ของรัฐบาล และเยี่ยมเยียนแก้ไขปัญหาอุทกภัยปัญหาใหญ่ที่ทำให้ประชาชนหลายพันหลายหมื่นครัวเรือนประสบความทุกข์ยากเดือดร้อน จนทุกอย่างกลับสู่ภาวะปกติ
หลังจากเสร็จภารกิจ “รักษาการนายกรัฐมนตรี” พรรคพลังประชารัฐแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลก็เกิดความแตกแยกมีสมาชิกกลุ่มหนึ่งเก็บสัมภาระย้ายออกไปหาบ้านหลังใหม่ ทว่า พลเอกประวิตร ไม่ใช่จะบู๊เป็นอย่างเดียว เมื่อต้องบุ๊นก็สามารถปรับแต่งพรรคพลังประชารัฐจนสามารถเป็นพรรคแกนหลักในการต่อต้านการฟื้นคืนชีพของระบอบทักษิณที่พยายามทุกหนทางให้เกิดการแลนด์สไลด์ เพื่อเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลภายหลังการเลือกตั้งครั้งใหม่
การกลับมาบ้านหลังเดิมของสองผู้อาวุโสที่ร่วมกันก่อตั้งพรรคพลังประชารัฐเป็นทั้งหัวหน้าพรรคคนแรก และเลขาธิการพรรคคนแรกจึงไม่ใช่เหตุบังเอิญทางการเมือง
แต่เป็นการกลับมาของมือนโยบายเศรษฐกิจที่เคยวางไว้ให้รัฐบาลลุงตู่นำมาบริหารประเทศตลอดระยะเวลา 8 ปีบนชีวิตการเมืองของ“นายพลบูรพาพยัคฆ์ อย่างพี่น้อง 3 ป.ทั้งลุงตู่ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา, ลุงป้อม ตั้วเหี่ียพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ, น้องป๊อก-พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา” บนนิยามระบอบประชาธิปไตยที่ก้าวเดินไปด้วยกันทั้งประเทศ ไม่ใช่ระบอบประชาธิปไตยตามนิยามระบอบทักษิณ
เป็นการเดินทางของนาฬิกา ไม่ใช่การเดินทางอย่างปฏิทินที่เชื่อว่าจะสกัดกั้นโอกาสการแลนด์สไลด์ควบคู่ไปกับ “พรรคภูมิใจไทย และ พรรครวมไทยสร้างชาติ”
เป็นการพิสูจน์ “ใจบันดาลแรง” ที่จะส่งผลดีต่อสังคมไทยการเมืองไทย และประชาชนชาวไทยหลังการเลือกตั้ง พร้อมปิดทางการจูง “สัมภเวสีโทนี่วู้ดซัม”กลับประเทศแบบนอนมาอย่างสบายๆโดยไม่ต้องรับโทษตามคำพิพากษาศาลฎีกาอีกประการด้วย
“ใจบันดาลแรง”ไม่ใช่ปาดหน้าน้องรักอย่าง “ลุงตู่” ในการลงพื้นที่พบปะประชาชนเท่านั้น
แต่นี่คือสัญชาตญาณของพยัคฆ์ที่ปกป้องอาณาจักรของตนให้พ้นภัยจาก “ฝูงไฮยีน่า”อีกด้วย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี