สนับสนุนให้นายชูวิทย์ตรวจสอบปมปัญหาต่างๆ บนฐานข้อเท็จจริง
ไม่ใช่ “การแสดง” เกินเลยจากหลักฐานข้อเท็จจริง
ปมสายสีส้ม... (ซึ่งผมก็วิพากษ์วิจารณ์มาโดยตลอด) ปัจจุบัน คดีอยู่ในชั้นศาล จะล็อกสเปกเอื้อประโยชน์หรือกีดกันรายใดรายหนึ่งหรือไม่ ก็คงต้องรอศาล ส่วนที่นายชูวิทย์กล่าวหาทำนองว่าเงินทอน 3 หมื่นล้านบาท มีเงินโอนไปบัญชีสิงคโปร์ ถือเป็นข้อมูลใหม่ แต่จนป่านนี้ก็ไม่มีการเปิดเผยหลักฐานใดๆ เลย
ปมกัญชา... นายชูวิทย์โจมตีว่ากัญชาเสรี หาว่าทำให้เด็กพี้เสรี เด็กซื้อกัญชาไปเสพ แต่ความจริง ตามแนวทางข้อกำหนดขณะนี้ คือ ปลูกเสรี เกษตรกรจดแจ้งปลูกกันอย่างสะดวก แต่การใช้กัญชามีกรอบปฏิบัติ ใช้ในทางการแพทย์เข้าถึงได้ง่ายขึ้น ต่อยอดสร้างมูลค่าเพิ่มต่างๆ ได้ แต่ยังกำหนดชัดว่าไม่ให้เด็กพี้กัญชา-ไม่ให้เด็กซื้อกัญชา มีความผิดตามกฎหมายชัดเจน ใครขายกัญชาให้เด็กมีความผิด
ถ้าร้านชูวิทย์ขายให้เด็กก็ผิด แปลกใจว่าทำไมไม่จี้ให้บังคับใช้กฎหมาย หรือเร่งผ่านร่าง พ.ร.บ.กัญชาฯ มาควบคุม
การปลดล็อกกัญชาจากบัญชียาเสพติด ผ่านการพิจารณาจากหลายหน่วยงาน ไม่ใช่เฉพาะพรรคภูมิใจไทยเท่านั้น เมื่อปลดล็อกแล้ว ก็ควรมีกฎหมายออกมาควบคุมโดยเฉพาะ แต่ที่ผ่านมา สภาก็เล่นเกมการเมืองกัน ขัดแข้งขัดขากัน ทั้งๆ ที่ สามารถกำหนดข้อห้ามที่ห่วงใยทั้งหลายไว้ในกฎหมายได้
เรื่องว่ากัญชามีคุณมีโทษอย่างไร นายปานเทพพัวพงษ์พันธ์ เชิญนายชูวิทย์ออกรายการดีเบตกันช่องไหนก็ได้ นายชูวิทย์ก็ไม่ตอบรับ รวมถึงที่อ้างว่านักการเมืองปลูกเป็นแสนไร่ก็ไม่มีหลักฐานเลย
ปมที่ดินเขากระโดง... ก็เคยอภิปรายกันในสภาหลายรอบ ทั้งกระทู้ ทั้งอภิปรายไม่ไว้วางใจ เรื่องอยู่ในขั้นตอนศาล นายชูวิทย์ก็นำมาปลุกระดมถึงขั้นชักชวนคนให้ไปรื้อสนามแข่งรถ สนามฟุตบอล บ้านที่อยู่อาศัย ฯลฯ ซึ่งมันทำอย่างนั้นไม่ได้ ถ้าใครหลงเชื่อไปทำ ก็คงเป็นฝ่ายติดคุกเสียเอง ฯลฯ
ล่าสุด ได้เห็นนายชูวิทย์อธิบายเรื่อง “สวนชูวิทย์”
ปัจจุบัน สวนถูกรื้อทิ้งไปแล้ว และกำลังก่อสร้างโครงการมิกซ์ยูสขนาดใหญ่ ความสูง 51 ชั้น (ไม่รวมชั้นใต้ดิน) “เทนธ์ อเวนิว” ขึ้นมาบนที่ดินดังกล่าว มูลค่าโครงการนับหมื่นล้านบาท
ตั้งบนที่ดินแปลงคดีรื้อบาร์เบียร์เดิมนั่นเอง
เรียกว่า รื้อบาร์เบียร์ รื้อสวนสาธารณะ แล้วก็นำมาทำโครงการพาณิชย์แสวงหากำไร ในนาม “DAVIS CORPORATION” และบริษัทเอเทนธ์ อเวนิว จำกัด ของครอบครัวคุณชูวิทย์นั่นเอง
(ส่วนแหล่งทุนและพันธมิตรเป็นใครบ้าง ยังไม่มีการเปิดเผย)
นายชูวิทย์อธิบายทำนองว่า ที่ตนเคยทำสวนสาธารณะบนที่ดินบาร์เบียร์ แล้วนำไปอ้างกับศาล จนเป็นเหตุให้ศาลลดหย่อนผ่อนโทษคดีรื้อบาร์เบียร์ให้แก่ตนเองนั้น ไม่ได้หมายความว่าจะยกที่ดินแปลงงามทำสวนสาธารณะไปตลอดชาติ ตนติดคุกมาแล้ว รับโทษตามคำพิพากษามาแล้วที่ผ่านมา การเอาที่ดินทำสวนมีค่าเสียโอกาสทางธุรกิจตั้งมากมายแล้ว ฯลฯ
ผมฟังแล้ว ก็ได้แต่ถอนหายใจ
ผมเคยเขียนบทความลงหนังสือพิมพ์แนวหน้า เมื่อปีที่แล้ว เรื่อง “สวนชูวิทย์พลิกผันฯ”
ขอคัดบางส่วนมาให้พิจารณาว่า นายชูวิทย์พูดจริงทำจริง หรือคำพูดเชื่อถือไม่ได้?
“...เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2548 นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ แถลงข่าวเปิดตัวสวนชูวิทย์ และกล่าวในวันนั้นว่า “... ผมเคยบอกว่าจะสร้างสวนสาธารณะให้เป็นปอดของ กทม. และต้องการให้เป็นตัวอย่างกับคนที่มีเงินเป็นแสนๆ ล้านบาทว่าตายไปก็เอาอะไรไปไม่ได้ เหรียญบาทเงินปากผี สัปเหร่อยังเอาไปเลย”
ล่าสุด สวนชูวิทย์ถูกปิด และกำลังมีการก่อสร้างเป็นโครงการพาณิชย์ขนาดใหญ่ ความสูงกว่า 50 ชั้น
1. ที่ดินขนาด 6 ไร่ ตั้งอยู่ปากซอยสุขุมวิท 10 เป็นจุดเกิดเหตุพิพาทคดีรื้อบาร์เบียร์ เมื่อปี 2546
เมื่อเวลา 04.00 น.วันที่ 26 ม.ค.2546 กลุ่มชายฉกรรจ์นับร้อยคน แต่งกายชุดซาฟารี พร้อมรถแบ๊กโฮบุกเข้าทำลายร้านบาร์เบียร์ 60 ร้าน ตั้งอยู่บนพื้นที่สุขุมวิทสแควร์พังราบคาบ โดยกลุ่มนายทุนว่าจ้างให้เข้าไปรื้อร้านค้าของผู้เช่าเดิม เพื่อจะใช้พื้นที่ทำประโยชน์ทางธุรกิจ
คดีนี้ พนักงานสอบสวนส่งฟ้องผู้ต้องหาทั้งหมดเมื่อวันที่ 13 มี.ค. 2546 ทั้งหมดให้การปฏิเสธ
หนึ่งในนั้น คือ นายชูวิทย์
ต่อมา พนักงานอัยการยื่นฟ้องผู้ต้องหารวม 131 คนต่อศาลอาญากรุงเทพใต้ ในความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์, บุกรุกในเวลากลางคืน และกักขังหน่วงเหนี่ยวข่มขืนใจให้บุคคลปราศจากเสรีภาพ
คดีนี้ ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา เมื่อวันที่ 13 ก.ค.2549 ยกฟ้องผู้ต้องหาเกือบทั้งหมด
ต่อมา ศาลอุทธรณ์ พิพากษากลับ เมื่อวันที่ 11 ก.ย.2555 ระบุ นายชูวิทย์, พ.ท.หิมาลัย และ พ.ต.ธัญเทพกับพวกรวม 66 คน มีความผิดจริง ฐานทำให้เสียทรัพย์ และใช้กำลังประทุษร้ายในเวลากลางคืน จึงพิพากษาจำคุกคนละ 5 ปี โดยไม่รอลงอาญา
ในที่สุด ศาลฎีกาพิพากษาแก้ ศาลเห็นว่า หลังเกิดเหตุ นายชูวิทย์ได้ร่วมกับพวกจำเลยอื่นชดใช้ค่าเสียหาย จนผู้เสียหายบางส่วนพอใจแล้ว และภายหลังได้นำที่ดินพิพาทไปทำประโยชน์เป็นสวนสาธารณะให้ประชาชนทั่วไปได้ใช้ โดยไม่ได้นำที่ดินไปทำธุรกิจแสวงหาผลกำไรอีก บ่งบอกว่า จำเลยรู้สำนึกผิด นับว่ามีเหตุให้ปรานี เห็นสมควรกำหนดโทษใหม่ให้เหมาะสม จึงพิพากษาแก้ว่าให้จำคุกจำเลย 2 ปี ไม่รอลงอาญา
หลังจากนั้น นายชูวิทย์ก็เข้าไปรับโทษในเรือนจำ จนกระทั่งพ้นโทษออกมา
2.หากอ้างว่า มันเป็นที่ดินส่วนตัว จะเอาไปทำอะไรก็เรื่องของเขา
พึงพิจารณาด้วยว่า มูลเหตุที่ทำให้ศาลฎีกาลดโทษจำคุกนายชูวิทย์ เหลือแค่ 2 ปี ก็นายชูวิทย์นำที่ดินพิพาทไปทำประโยชน์เป็นสวนสาธารณะ ในชื่อ “สวนชูวิทย์” ให้ประชาชนทั่วไปได้ใช้ โดยไม่ได้นำที่ดินไปทำธุรกิจแสวงหาผลกำไรอีก โดยศาลชี้ว่า “บ่งบอกว่า จำเลยรู้สำนึกผิดนับว่ามีเหตุให้ปรานี เห็นสมควรกำหนดโทษใหม่ให้เหมาะสม จึงพิพากษาแก้ว่าให้จำคุกจำเลย 2 ปี”
3. นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ เคยเขียนเล่าไว้ในเว็บไซต์มติชนออนไลน์ บางตอนว่า “...ที่ดินแปลงนี้มีมูลค่ามหาศาล แต่ทำให้ผมต้องสูญเสียอิสรภาพ... หลังจากที่ฟังคำพิพากษาจนจบสิ้นกระบวนการตัดสินของศาลฎีกา ผมยอมรับอย่างหน้าชื่นอกตรมว่าเป็นคำพิพากษาที่ให้ความยุติธรรมกับจำเลยอย่างที่สุด แม้ว่าศาลชั้นต้นจะพิพากษายกฟ้องและศาลอุทธรณ์กลับคำพิพากษาตัดสินจำคุก 5 ปี คำรับสารภาพของผมแม้ว่าศาลฎีกาจะไม่รับพิจารณา แต่ก็ได้ลดโทษจาก 5 ปี เหลือ 2 ปี เหตุเพราะผมสำนึกผิด และได้พยายามเยียวยาโดยนำเอาที่ดินมูลค่ามหาศาลทำเป็นสวนสาธารณะปลูกต้นไม้ให้เป็นประโยชน์กับประชาชนสามารถเข้ามาพักผ่อนหย่อนใจท่ามกลางตึกสูงระฟ้า ทั้งโรงแรม สำนักงานล้อมรอบแทนที่จะนำที่ดินมาทำประโยชน์หาผลตอบแทนทางธุรกิจ...”
....
ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2548 ชูวิทย์จัดแถลงข่าวประกาศไม่ต้องการใช้ประโยชน์จากที่ดินผืนดังกล่าว และจะนำที่ดินคืนสาธารณะให้สังคม
“... สวนนี้ชื่อว่าสวนชูวิทย์ แต่ความจริงแล้วอยากเรียกว่าสวนสะใจมากกว่า ผมเป็นคนพูดแล้วทำจริงไม่ใช่พวกปากพล่อย วันๆ เอาแต่ออกมาแถลงข่าวเรื่องหอยเรื่องปูผมอยากเชิญชวนให้คนรวยเจ้าของที่ดินใน กทม. ได้นำมาใช้ประโยชน์ ไม่ได้ปล่อยทิ้งร้างเอาไว้ ...”
ต่อมา วันที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2548 ชูวิทย์แถลงข่าวเปิดตัวสวนชูวิทย์ ระบุว่า
“... ผมเคยบอกว่าจะสร้างสวนสาธารณะให้เป็นปอดของกทม. และต้องการให้เป็นตัวอย่างกับคนที่มีเงินเป็นแสนๆล้านบาทว่าตายไปก็เอาอะไรไปไม่ได้ เหรียญบาทเงินปากผี สัปเหร่อยังเอาไปเลย ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้เคยวางแผนไว้ว่าจะใช้พื้นที่นี้สร้างโรงแรมระดับ 4 ดาว และได้จ่ายค่าออกแบบไปแล้ว 30 ล้านบาท แต่ก็ยกเลิกโครงการดังกล่าวไป ...”
พึงตระหนักว่า ศาลฎีกาบรรเทาโทษให้นายชูวิทย์ เพราะการนำที่ดินมาทำสวนสาธารณะนั้นสะท้อนว่ารู้สำนึกผิดแล้ว จึงกำหนดโทษจำคุกแค่ 2 ปี และสุดท้าย ก็ติดคุกจริงๆ ไม่ถึงปี
บัดนี้ นายชูวิทย์เป็นอิสรชน วิพากษ์วิจารณ์การเมืองสังคมได้ตามใจ กำลังนำสวนธารณะนั้น ไปใช้เพื่อธุรกิจส่วนตัวทำให้ประโยชน์สาธารณะเสียไป? เกิดอะไรขึ้นกับความรู้สำนึกผิดเดิม?
ขอฝากคำคมของนายชูวิทย์ เมื่อ 17 ปี ที่แล้ว - “ผมเป็นคนพูดแล้วทำจริง ไม่ใช่พวกปากพล่อย วันๆ...”
ปัจจุบัน นายชูวิทย์อาจไม่จำเป็นต้องอาศัย“สวนชูวิทย์” เพื่อประโยชน์ในทางคดีอีกแล้ว
ก็รื้อ “สวนชูวิทย์” รื้อถอนต้นไม้ที่ปลูกไว้ตอนแรกซึ่งกำลังโต ให้ร่มเงา คนเมืองได้พึ่งพาอาศัย ลดฝุ่น PM2.5
เพื่อนำที่ดินกลับไปทำธุรกิจส่วนตัว ตามเจตนาในการกระทำผิดในคดีรื้อบาร์เบียร์เดิมนั่นเอง
น่าสงสัยว่า ในทางกฎหมาย การยกที่ดินให้เป็นสวนสาธารณะไปแล้ว หลังจากนั้น เจ้าของอยากจะเอาคืนกลับไปทำอะไรเมื่อไหร่ก็ได้ อย่างนั้นหรือ?
สันติสุข มะโรงศรี
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี