โลกได้ตกอยู่ท่ามกลางความสับสนยุ่งเหยิง และความอกสั่นขวัญหายจากสงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการเผชิญหน้าระหว่างองค์การนาโต (ที่ประกอบด้วยสมาชิกจำนวน 30 ประเทศ ภายใต้การนำพาของสหรัฐอเมริกา) กับรัสเซีย, การหยั่งเชิงระหว่างอินเดียกับจีนแถบเทือกเขาหิมาลัย, ความไม่พึงพอใจซึ่งกันและกันระหว่างจีนแผ่นดินใหญ่ กับจีนเกาะไต้หวัน, การพยายามปิดล้อมจีน
นำโดยสหรัฐอเมริกา พร้อมด้วยญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย และอินเดีย ไปจนถึงสงครามกลางเมืองที่ลิเบีย ซีเรีย เยเมน โซมาเลีย เอธิโอเปีย และเมียนมา และการปะทะกันอย่างไม่จบไม่สิ้นระหว่างอิสราเอลกับฝ่ายปาเลสไตน์ อีกทั้งการกลับมาแข่งขันกันในเรื่องการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ และการเพิ่มงบประมาณเพื่อเพิ่มแสนยานุภาพและความทันสมัยของบรรดากองทัพต่างๆ ของฝ่ายสหรัฐฯ กับพันธมิตรทั้งในภาคพื้นเอเชียแปซิฟิกและยุโรปตะวันตกฝ่ายหนึ่ง กับการกระชับความร่วมมือระหว่างรัสเซียกับจีน รวมไปถึงอิหร่านและเกาหลีเหนืออีกฝ่ายหนึ่ง
แต่ในวันนี้ โลกได้เริ่มมีความรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาอีกนิดเมื่อ
1. ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ก็เริ่มหันหน้ากลับมาคืนดีกัน เมื่อผู้นำทั้ง 2 ประเทศเริ่มพูดจากันเพื่อปรับปรุงความสัมพันธ์และมิตรไมตรี จากที่ต่างมีประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์อันรันทดต่อกัน
2. จีนได้มาช่วยเป็นท้าวมาลีวราช เพื่อช่วยไกล่เกลี่ยความขัดแย้งและชิงดีชิงเด่นกัน ระหว่างซาอุดีอาระเบียและผู้นำศาสนานิกายซุนนี่ และอิหร่านกับผู้นำศาสนานิกายชีอะห์
3. ในขณะเดียวกันจีนก็ได้มีข้อเสนอ 12 ประการ เพื่อยุติการสู้รบระหว่างรัสเซียกับยูเครน การเปิดเวทีให้องค์การสหประชาชาติเข้ามามีบทบาทกันในเรื่องการช่วยเหลือทางด้านมนุษยธรรม และการฟื้นฟูบูรณะยูเครน
4. นอกจากนั้นคู่กรณีของสงครามกลางเมืองจะเป็นที่เอธิโอเปีย โซมาเลีย และโคลอมเบีย ก็เริ่มมีแสงสว่างที่ปลายทาง เมื่อได้มีการเริ่มเจรจาปรับท่าทีต่อกันและกัน
ในสภาวการณ์ดังกล่าวนี้ โลกจึงยังไม่ดูสิ้นไร้ไม้ตอก สิ้นความหวังเกินไปนัก ก็หวังว่าผู้นำต่างๆ จะใช้เส้นทางสันติภาพและการเจรจาทางการทูตเป็นหนทางออก เพื่อยุติประเด็นปัญหาและแก้ไขสถานการณ์ กลับสู่ความสงบ สันติภาพ และการร่วมกันสร้างความเจริญก้าวหน้าให้กับประเทศของตนเอง และให้กับภูมิภาคต่างๆ
ประเด็นจึงอยู่ที่ว่า เมื่อใดที่คู่ขัดแย้งต่างๆ จะเริ่มตระหนักได้เสียทีว่า การมุ่งเอาชนะกันให้ถึงที่สุดด้วยการแพ้ชนะกันบนสนามรบนั้นมิใช่ทางออก หากแต่ต้องอยู่กับการเจรจาเพื่อหาทางออมชอมแบบถ้อยทีถ้อยอาศัยกันเท่านั้น ที่จะเป็นทางออกทางเดียว โดยจะต้องเอาความผาสุกและความปลอดภัยของประชาชนพลเมืองเป็นที่ตั้ง
แม้การยุติความขัดแย้งต่างๆ ที่มีความสลับซับซ้อน เพื่อบรรลุเป้าหมายของสันติภาพ นั้นมิใช่เรื่องง่าย หรือจะกระทำได้อย่างทันทีทันควัน แต่เมื่อคิดอ่านที่จะเริ่มเจรจากันด้วยสติปัญญา และความปรารถนาที่ดีต่อกัน ก็ต้องถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีงามและควรจะต้องเพียรพยายามกันต่อไปอย่างไม่ลดละ
ในการนี้ ก็คงต้องแสดงความชื่นชมต่อจีน ที่มีความคิด และความประสงค์ที่จะให้องค์การสหประชาชาติกลับมามีบทบาทนำในเรื่องจรรโลงสันติภาพ เสริมสร้างความมั่นคง และการพัฒนาความเจริญก้าวหน้า และความผาสุกของชาวโลก
ดังนั้น บรรดาประเทศสมาชิกองค์การสหประชาชาติ ก็ต้องร่วมแรงร่วมใจกับจีน ด้วยการกลับมาร่วมมือกันในกรอบขององค์การสหประชาชาติเป็นสำคัญ เพื่อกระชับความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และช่วยกันเสริมสร้างบทบาทขององค์การสหประชาชาติ ซึ่งเป็นองค์การกลางของประชาคมโลก
ส่วนจีนนั้นก็เป็นประเทศหลักของกลุ่ม BRICS (ซึ่งประกอบด้วย จีน รัสเซีย อินเดีย แอฟริกาใต้ บราซิล) ก็ควรจะได้เชื้อเชิญประเทศเหล่านี้ให้เข้ามาร่วมแรงร่วมใจอย่างแข็งขัน โดยจีน รัสเซีย อินเดีย นั้นก็เป็นประเทศคู่เจรจา (Dialogue Partners) กับประชาชนอาเซียน ฉะนั้นต่างก็อยู่ในฐานะที่จะเชื้อเชิญอาเซียนเข้าไปร่วมกับกลุ่ม BRICS ในการเป็นพลังขับเคลื่อนสันติภาพในกรอบขององค์การสหประชาชาติเป็นการเฉพาะ รวมทั้งในกรอบของประชาคมโลกได้
ซึ่งก็หมายความว่า อาเซียน ที่มีอินโดนีเซียเป็นประธาน ในวาระปี 2566 ก็น่าจะได้มีการปรึกษาหารือกันอย่างกว้างขวางจริงจัง เพื่อพัฒนาบทบาทของอาเซียน ซึ่งก็มีมิตรไมตรีกับประเทศต่างๆ มาโดยตลอด และมิได้เป็นพิษเป็นภัยกับใคร ก็น่าจะอยู่ในฐานะที่จะพูดจา แสดงท่าทีในเชิงสร้างสรรค์ เพื่อช่วยแก้ไขประเด็นปัญหาของความขัดแย้งระหว่างประเทศ และภายในประเทศต่างๆ ได้
ที่ผ่านมา อาเซียนเองก็ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมากในการแก้ปัญหาภายในของตน และอยู่ในฐานะที่จะนำเอาประสบการณ์ของตนในการเสริมสร้างสันติภาพและการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ ไปเสนอและแบ่งปันต่อประเทศต่างๆ ที่มีความขัดแย้งได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ เพราะที่ผ่านมา
อาเซียนก็ได้ประกาศตนว่า อยากจะเป็นผู้ขับเคลื่อน หรือเป็นแกนกลางความเป็นไปในภูมิภาค (Centrality)
บัดนี้โอกาสก็ได้มาถึงอาเซียนแล้ว ในการที่จะออกมาแสดงบทบาทอันสำคัญของการเสริมสร้างสันติภาพและความมั่นคงให้กับโลกกว้าง ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับวิสัยทัศน์ของบรรดาผู้นำอาเซียนทั้ง 10 ประเทศ โดยเฉพาะในปีนี้มีประธานเป็นอินโดนีเซีย ที่มีฐานะพิเศษในเวทีระหว่างประเทศอยู่แล้วในฐานะที่เป็นประเทศมุสลิมที่ใหญ่ที่สุด และเป็นประชาธิปไตย และเป็นเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดของอาเซียน และเคยเป็นประเทศชั้นนำของกลุ่มประเทศมิฝักใฝ่ฝ่ายใด (Non-aligned) ในช่วงยุคโลกแห่งสงครามเย็น ซึ่งอินโดนีเซียเองก็มีทุนแห่งการยอมรับของประชาคมโลกอยู่แล้ว จึงอยู่ในฐานะที่จะมีบทบาทนำ และนำพาอาเซียนเพื่อเป็นกลุ่มประเทศที่จะช่วยนำพาการเจรจาทางการทูต เพื่อจรรโลงสันติภาพ เสริมสร้างความมั่นคงและความเจริญก้าวหน้าให้กับภูมิภาคและโลกกว้างได้
ในขณะเดียวกัน ประเทศยักษ์ใหญ่ของโลกโดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา อังกฤษ และกลุ่มประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป ก็ควรจะทบทวนท่าทีที่ค่อนข้างจะมุ่งไปในทางขับเคี่ยว เผชิญหน้ากัน ให้หันกลับสู่เส้นทางสันติภาพของการเจรจาหารือกันเป็นสำคัญ โดยตระหนักว่า การสงครามเป็นเรื่องที่ปลุกเร้าอารมณ์ได้ง่าย แต่การสันติภาพเป็นเรื่องที่จะต้องควบคุมสติ และใช้ปัญญา เพื่อหาเส้นทางออมชอมมากกว่าการแพ้ชนะ หรือการเอากันให้ถึงที่สุดบนสนามของการสู้รบ หรือแม้กระทั่งบนสนามของสงครามโฆษณาชวนเชื่อและบ่อนทำลายซึ่งกันและกัน
ล่าสุดผู้นำจีนได้เดินทางไปกรุงมอสโก และได้พูดจาทางโทรศัพท์กับผู้นำยูเครน พร้อมด้วยข้อเสนอสันติภาพ 12 ประการดังกล่าว ก็เป็นการสมควรที่ฝ่ายสหรัฐอเมริกา รวมทั้งองค์การนาโต และสหภาพยุโรป ที่สนับสนุนยูเครน ควรจะได้นำข้อเสนอของจีนไปพินิจพิจารณา และเปิดช่องทางทางการทูตเพื่อการเจรจาหารือกัน เพื่อแสดงว่ามีความมุ่งมั่นในเรื่องสันติภาพเช่นกัน
ทั้งนี้ทั้งนั้น จีนก็ต้องหันกลับมาดูตนเองด้วยว่า เมื่อประสงค์ให้คู่กรณีต่างๆ เจรจาหารือกันแล้ว แล้วทำไมเล่าจีนถึงจะไม่เปิดการเจรจา กับจีนเกาะไต้หวัน เพื่อลดความตึงเครียด และใช้การทูตเป็นเส้นทางเพื่อหาทางออกต่อความขัดแย้งและความหมางใจที่ได้มีอยู่กับจีนเกาะไต้หวันบ้าง?
หากจีนทำได้ ก็จะทำให้จีนมีความสง่างามและมีความน่าเชื่อถือยิ่งขึ้น จะไม่ถูกมองจากประชาคมโลกว่า ไป “ยุ่ง” กับเรื่องต่างๆ ไกลจากบ้านเมืองของตน ในขณะที่เรื่องในบ้านของตนกลับใช้แสนยานุภาพต่างๆ ไปคุกคามเกาะไต้หวัน และประเทศรอบๆ ที่มีข้อพิพาทในเรื่องเขตแดนทางทะเล ไม่ว่ากับญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ เวียดนาม และมาเลเซีย
ซึ่งทั้งหมดนี้ก็อดที่จะกล่าวถึงเลขาธิการขององค์การสหประชาชาติมิได้ ที่ดูยังไม่มีบทบาทใดๆ ต่อประเด็นปัญหาต่างๆ ของโลกที่จับต้องได้ หรือเป็นชิ้นเป็นอัน ก็น่าจะถึงเวลาแล้วที่เลขาธิการองค์การสหประชาชาติ จะได้นำพาให้องค์การสหประชาชาติกลับมาเป็นแกนกลางของประชาคมโลกในเรื่องสันติภาพ ความมั่นคง และความผาสุกเจริญก้าวหน้าของชาวโลกเสียที
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี