ปั่นป่วนกันตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมากับกรณี “ข้อมูลคนไทย 55 ล้านคนรั่วไหล” โดยแฮกเกอร์อ้างว่าหลุดมาจากระบบของภาครัฐและขู่ว่าจะทยอยปล่อยข้อมูล กระทั่งในเวลาต่อมาก็ยกเลิกแผนการดังกล่าว ขณะที่ฝ่ายรัฐก็เร่งสืบสวนไล่ล่าแฮกเกอร์รายนี้มาดำเนินคดีตามกฎหมาย อย่างไรก็ตาม “คนไทยอาจจะชินกับเรื่องแบบนี้แล้วก็ได้” เพราะที่ผ่านมาเชื่อว่าเกือบทุกคนต้องเคยเจอกับ “แก๊งคอลเซ็นเตอร์-SMS หลอกลวง” กันบ้างไม่มากก็น้อย ซึ่งก็น่าคิดว่ามิจฉาชีพเหล่านี้ได้หมายเลขโทรศัพท์ (หรืออื่นๆ ที่เป็นข้อมูลส่วนบุคคล) มาได้อย่างไร
เมื่อวันเสาร์ที่แล้ว ตรงกับวันที่ 1 เมษายน ซึ่งทางตะวันตกเขามีวัฒนธรรมการละเล่น “วันโกหก (April Fool’s Day)” ในวันดังกล่าวผู้คนจะ “อำ” สร้างเรื่องโกหกแกล้งกันแบบขำๆ โดยตราบใดที่เรื่องโกหกนั้นไม่เป็นอันตรายก็จะต้องไม่ถือโทษโกรธกัน องค์กรภาคประชาสังคมอย่างโคแฟค (ประเทศไทย)จัดอบรมออนไลน์ หัวข้อ “อบรมเครื่องมือในการรับมือแก๊งคอลเซ็นเตอร์ยุค 5G ในวันเอพริลฟูล(April Fool’s Day)” ด้วยความร่วมมือกับ Whoscall แอปพลิเคชั่นคัดกรองหมายเลขโทรศัพท์ต้องสงสัยที่พัฒนาโดย Gogolook บริษัทสัญชาติไต้หวัน
ในงานนี้ ทาง Whoscall ได้เผยแพร่รายงานประจำปี 2565 พบข้อน่าตกใจว่า “ประเทศไทยในปี 2565 ยอดสายโทรศัพท์ของมิจฉาชีพอยู่ที่ 17 ล้านสาย มากกว่าปี 2564 ซึ่งอยู่ที่ 6.4 ล้านสาย หรือเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 165” นอกจากนั้น “หมายเลขโทรศัพท์ในไทย13.5 ล้านเลขหมาย รั่วไหลและถูกขายในทางที่ผิด”ซึ่งสถิติหมายเลขโทรศัพท์รั่วไหลนี้ แม้จะคิดเป็นเพียงร้อยละ 45 น้อยกว่ามาเลเซีย (ร้อยละ 73) ไต้หวัน (ร้อยละ 65) และญี่ปุ่น (ร้อยละ 56) แต่ก็ถือว่าไม่ใช่จำนวนน้อยๆ เลยทีเดียว
ย้ายมาฝั่ง SMS กันบ้าง แม้คนไทยจะไม่ได้ใช้ SMS สื่อสารเป็นหลักเหมือนในอดีต แต่การส่ง SMS โดยผู้ไม่ประสงค์ดีก็สร้างปัญหาอย่างมาก เช่น การหลอกให้กดลิงก์ (Link) พอกดเข้าไปแล้วก็อาจถูกมิจฉาชีพล้วงข้อมูลในโทรศัพท์สมาร์ทโฟน หรือสั่งการให้ทำธุรกรรมจนเสียเงินเสียทองได้ โดยรายงานของ Whoscall พบว่า “ร้อยละ 70 ของข้อความที่คนไทยได้รับทาง SMS เป็นข้อความพ่วงความเสี่ยง” ไล่ตั้งแต่มิจฉาชีพหลอกลวง (Phishing) ไปจนถึงโฆษณาชวนให้กู้เงินหรือชวนเล่นการพนันออนไลน์
ทั้งนี้ “ภาครัฐเองก็พยายามหาทางรับมือ” อาทิ ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมเทคโนโลยีสารสนเทศ สํานักงานตํารวจแห่งชาติ (PCT) รวบรวมวิธีหลอกลวงของมิจฉาชีพมาแจ้งเตือนประชาชน ตลอดจนมีความร่วมมือระหว่าง สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) กับผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือ ในการยับยั้งหมายเลขโทรศัพท์ต้องสงสัยโดยเฉพาะการโทรศัพท์ข้ามประเทศ รวมถึงล่าสุดที่รัฐบาลเพิ่งออกกฎหมายปราบปราม “บัญชีม้า”
การรับจ้างเปิดบัญชีให้ผู้อื่นก่อนถูกนำไปใช้ในงานของมิจฉาชีพ
แต่อีกด้านหนึ่ง “ทุกคนในฐานะผู้ใช้งานเทคโนโลยีก็ต้องตระหนักด้วยที่จะระมัดระวังตนเอง” ดังรายงานของ Whoscall ที่ชี้ว่า “ในประเทศไทย มุขเก่าๆ อุบายเดิมๆ ก็ยังคงใช้หลอกลวงเหยื่ออย่างได้ผล”ไล่ตั้งแต่ 1.การส่งและสั่งพัสดุ โดยเฉพาะการส่งพัสดุแบบเก็บเงินปลายทาง เรื่องนี้บ้านใดที่มีผู้สูงอายุอยู่ตามลำพังมักตกเป็นเหยื่อด้วยความเข้าใจว่าลูกหลานเป็นคนสั่งของไว้จึงออกเงินให้ไปก่อน มารู้อีกทีว่าถูกหลอกก็เวลาลูกหลานกลับมาบ้านแล้ว แม้มูลค่าเงินจะไม่มาก เช่น 50-100 บาท หลายคนอาจไม่ใส่ใจ แต่ก็เป็นความเสียหายที่เกิดขึ้น
2.หลอกให้โอนเงิน มีตั้งแต่หลอกว่าเป็นคนรู้จัก ญาติสนิทมิตรสหายบอกว่าตนเองกำลังเดือดร้อนขอให้โอนเงินมาช่วยเหลือ หรือหลอกว่าเป็นหนี้บัตรเครดิตต้องรีบชำระไม่เช่นนั้นจะโดนหักเงินจากบัญชีธนาคาร ไปจนถึงหลอกว่าเป็นเจ้าหน้าที่รัฐฝ่ายความมั่นคง อ้างว่าพบประวัติเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดกฎหมายคดีนั้นข้อหานี้ เอาโทษจำคุก (และ/หรือยึดทรัพย์) มาข่มขู่แล้วบอกว่าเรื่องนี้เคลียร์ได้ถ้ากล้าจ่ายเงิน
3.หลอกลงทุน-กู้เงิน-ทำงาน ซึ่งหากไปดูถ้อยคำที่มิจฉาชีพใช้ จะเน้นเรื่องของความรู้สึก “ง่ายและฟรี” ของผู้รับสาร เช่น“เว็บตรง”, “รับสิทธิ์ยื่นกู้”, “เครดิตฟรี”, “แตกง่าย”,“คุณได้รับสิทธิ์” หรือไม่ก็สร้างความน่าเชื่อถือด้วยการอ้างแพลตฟอร์มที่มีชื่อเสียง ซึ่งโดยสรุปแล้ว ทาง Whoscall ได้ฝากแนวทางระมัดระวังไว้ดังนี้ 1.พึงระลึกไว้เสมอว่าไม่มีอะไรได้มาง่ายๆ มิจฉาชีพล่อหลอกลวงรางวัลบ้าง งานบ้างเมื่อหลงเชื่อทำตามเงื่อนไขที่มิจฉาชีพบอกก็จะถูกล้วงข้อมูลส่วนบุคคล ไปจนถึงถูกหลอกให้เสียเงิน
2.ตั้งสติและคิดตามว่าเราเกี่ยวข้องกับสิ่งที่มีคนโทรศัพท์มากล่าวอ้างจริงหรือ และยิ่งถ้าอีกฝ่ายมีการขู่ให้โอนเงินก็แนะนำให้ตัดสายทิ้งได้เลย เพราะเป็นไปได้สูงที่จะเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์โทรศัพท์มาหลอกลวง 3.อย่าเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลกับคู่สนทนาที่ไม่รู้จัก โดยเฉพาะข้อมูลเรื่องเงินๆ ทองๆ 4.เจอลิงก์ที่ไม่มั่นใจที่มาอย่ากด มักพบได้ในการส่ง SMS ที่แค่กดเมื่อไรมิจฉาชีพก็เข้าถึงข้อมูลในมือถือได้เมื่อนั้น และ 5.อย่ารับสายจากหมายเลขโทรศัพท์ที่ดูแล้วไม่น่าไว้ใจ ยิ่งถ้าเป็นหมายเลขจากต่างประเทศยิ่งต้องเพิ่มความระมัดระวัง
สัปดาห์นี้ “ที่นี่แนวหน้า” นำเรื่องนี้มาบอกเล่ากับท่านผู้อ่าน ซึ่งแม้จะมีการเตือนกันมาแล้วหลายครั้งแต่ก็ต้องย้ำกันเรื่อยๆ เพื่อกระตุ้นให้ระวังตัวกันให้มาก เพราะขนาดมีการนำเสนอข่าวกันไปแล้วหลายครั้งหลายหน แต่ก็ยังมีข่าวคนตกเป็นเหยื่อถูกหลอกลวงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง!!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี