ตลอดอายุของรัฐบาลไทยนำโดย พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีกลาโหม โดยมี นายดอน ปรมัตถ์วินัย เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และรองนายกรัฐมนตรี ก็จะมีข้อสังเกตว่า มีความเอนเอียง และเกรงอกเกรงใจจีนเป็นอย่างยิ่ง โดยข้อสังเกตนี้ได้เป็นไปอย่างกว้างขวางทั้งในแวดวงวิชาการ สื่อ และการเมือง ทั้งในระดับประเทศ ประชาคมอาเซียน และประชาคมโลก ซึ่งผมเองก็มักจะเจอคำถามนี้เป็นประจำจากบรรดานักวิชาการ นักวิจัยค้นคว้า และผู้สื่อข่าวต่างประเทศ และผมก็ได้แสดงความคิดเห็นไปว่า ที่คณะรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ญาติดีกับจีน ก็น่าจะด้วยเหตุผลหลายประการดังนี้
1.การคิดอ่าน และการเชื่อว่า อุตสาหกรรมท่องเที่ยวของไทย และธุรกิจต่อเนื่องของไทยจะต้องพึ่งพาการไหลเข้ามาของนักท่องเที่ยวจีนเป็นสำคัญ ฉะนั้น ฝ่ายรัฐบาลไทยจึงต้องวางตัวให้ดีในสายตาของจีน เพื่อมิให้จีนเกิดความไม่พึงพอใจจีนจึงสามารถใช้การอนุญาตให้นักท่องเที่ยวจีนเดินทางออกนอกประเทศได้หรือไม่ มาเป็นเครื่องมือทางการเมืองในการดำเนินความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับจีน (Weaponization of Chinese Tourist Flows) ที่เรียกว่า การปิด-เปิด ก๊อกน้ำของนักท่องเที่ยว (Water tap)
ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว เมื่อเหตุการณ์โรคระบาดโควิด-19 เกิดขึ้น ก็ส่งผลให้ แม้ไม่มีนักท่องเที่ยวจีนมาไทยเลย แต่ประเทศไทยก็ยังยืนอยู่ได้ อีกทั้งตลาดการท่องเที่ยวของไทยนั้นมีความหลากหลาย ยังสามารถรับนักท่องเที่ยวจากทวีปแอฟริกา จากภูมิภาคตะวันออกกลาง จากเอเชียกลาง และจากชมพูทวีปได้ แต่สุดท้ายเมื่อสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย เราก็ยังพยายามหันไปฝากผีฝากไข้ไว้ที่จีนเป็นหลัก การโหมโรงที่ภูมิภาคต่างๆ ดังกล่าวก่อนหน้าก็เลยเป็นไปอย่างกระท่อนกระแท่นไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย หรือนัยหนึ่งฝ่ายรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ ไม่ได้คิดอ่านที่จะ “ปลดแอก” จากตลาดท่องเที่ยวจีนอย่างจริงจัง
2.ในการจัดหาและจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ ของกองทัพไทย ซึ่งที่ผ่านมามักเป็นไปด้วยความไม่โปร่งใส ซึ่งแต่เดิมซื้อจากทวีปอเมริกาเหนือ หรือทวีปยุโรปตะวันตก ติดปัญหาทางเงื่อนไขต่างๆ ตั้งแต่สมัยยังเป็นรัฐบาลทหาร ในขณะที่การจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์จากจีนมีเงื่อนไขที่ยืดหยุ่น หรือแทบจะไม่มีเลย ยิ่งเมื่อเทียบกระบวนการจ่ายคอมมิชชั่นจากตะวันตกแล้ว เรื่องระบบการจ่ายเงินจากฝั่งจีนนั้นมีความคล่องตัวกว่า แม้ตัวพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นั้น ซื่อสัตย์สุจริตอย่างไม่เป็นที่สงสัย แต่การกวดขันเข้มงวดกับผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชา และบริษัทนายหน้าค้าอาวุธนั้นกลับดูคลุมเครือไม่ชัดเจนว่า มีการหาประโยชน์เข้าตน เข้าหมู่คณะหรือไม่ มากน้อยเพียงใด
อย่างไรก็ตาม ความด้อยในเรื่องสมรรถนะ และอายุการใช้งานของอาวุธยุทโธปกรณ์จากจีน ก็มีข่าวความบกพร่องอยู่เรื่อยๆ ล่าสุดก็มีกรณีเรือดำน้ำ 3 ลำ ที่ไม่สามารถหาเครื่องยนต์ที่ผลิตจากเยอรมนีมาติดตั้งได้ เพราะฝ่ายรัฐบาลเยอรมนีปฏิเสธที่จะขายให้จีน ก็มีคำถามว่า แล้วทำไมสัญญาการจัดซื้อจัดจ้างถึงมีความหละหลวมบกพร่องถึงขนาดนั้น? ซึ่งจนบัดนี้ ก็ยังไม่มีการออกมารับผิดชอบ รับความผิดพลาดโดยผู้บริหารประเทศ ตั้งแต่นายกรัฐมนตรีลงมาแต่อย่างใด ทั้งไม่นานวันมานี้ก็ได้มีพิธีรับเรือรบที่ต่อในประเทศจีน น้ำหนักระวาง 6,000 ตัน แต่กลับไม่มีการติดตั้งอุปกรณ์ไฟฟ้าและการสื่อสาร และไม่มีฐานที่ตั้งอาวุธ และอาวุธยุทโธปกรณ์ และก็ไม่มีข้อมูลใดๆ ที่จะออกสู่สาธารณะว่า จะมีการดำเนินการต่างๆ ให้ครบบริบูรณ์ สังคมไทยก็เลยไม่รู้เลยว่าผู้ใดจะต้องรับผิดชอบในความไม่สมบูรณ์ต่างๆ ของการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์เหล่านี้
3.จีนเป็นประเทศคอมมิวนิสต์ พรรคเดียวเป็นเผด็จการ และมีความสบายใจที่จะคบหาสมาคมกับรัฐบาลเผด็จการในรูปแบบต่างๆ เพราะพูด “ภาษาเดียวกัน” โดยจะไม่มีการตั้งคำถามใดๆ เกี่ยวกับเรื่องความเป็นประชาธิปไตย หรือการถดถอยของความเป็นสังคมประชาธิปไตยไม่เหมือนพวกฝรั่งตะวันตกที่มักจะสอบถามในเรื่องนี้ ซึ่งน่าจะทำให้พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีความหงุดหงิด มีความรำคาญ จนพาลไม่อยากเห็นหน้าค่าตา ให้มาจี้จุดใจดำ เนื่องจากพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา เคยร่วมอยู่ในคณะรัฐประหารเมื่อปี พ.ศ. 2549 แถมยังเป็นหัวหน้าคณะปฏิวัติเสียเองเมื่อปี พ.ศ. 2557 โดยสั่งการให้มีการขีดเขียนกฎหมายรัฐธรรมนูญฉบับปี พ.ศ. 2560 ที่มีการสืบทอดอำนาจทหารกับการเมือง ที่ทำให้สังคมไทยเป็นประเทศที่มีการผสมผสานระหว่างหลักประชาธิปไตย กับหลักอำนาจนิยม จนถึงทุกวันนี้
ในรูปการณ์นี้ก็สามารถที่จะสรุปเป็นที่เข้าใจได้ว่า ทำไมพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา และคณะรัฐบาลถึงพินอบพิเทากับจีน และตีห่างจากประเทศประชาธิปไตย หรือคบหาสมาคมแค่พอเอื้อมได้ แต่ไม่ใกล้ชิดสนิทสนมเหมือนเคย
ในอีก 2-3 เดือนข้างหน้า หากไม่มีอุบัติเหตุทางการเมืองใดๆ ราชอาณาจักรไทยก็จะมีรัฐบาลใหม่ที่กำเนิดจากความเป็นประชาธิปไตยแบบครึ่งใบ และมีเป้าหมายที่จะให้มีการแก้ไขกฎหมายรัฐธรรมนูญ เพื่อเอาฝ่ายกองทัพออกจากการเมือง และวางโครงสร้างระบบระบอบการเมืองของไทยให้เป็นประชาธิปไตยเต็มใบ
ฉะนั้น ก็เป็นที่คาดเดากันว่าจะมีการปรับเปลี่ยนท่าทีของไทยกับจีน และของไทยกับประเทศประชาธิปไตยให้อยู่ในจุดที่เหมาะสม ซึ่งจะเป็นการสะท้อนความเป็นตัวของตัวเอง โดยเป็นประเทศอธิปไตยที่ไม่ต้องอยู่ใต้อาณัติ หรือต้องยอมพินอบพิเทาให้กับประเทศหนึ่งใด
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี