วันนี้ขอนำรายงานพิเศษ หนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ที่เขียนโดยผู้สื่อข่าวอาวุโสชาวอินเดียสองคน อานันท์คุปตา และ คาริชมา เมห์โรตรา มานำเสนอในหัวข้อ “มณีปุระเกิดกลียุคเป็นหายนะเพราะผู้อพยพชาวเมียนมาจากรัฐชิน”เรื่องนี้ตรงกับความคิดของผู้เขียนที่เชื่อมานานว่า รัฐบาลเงาของเมียนมาที่เรียกว่า “รัฐบาลเอกภาพแห่งชาติ หรือ เอ็นยูจี” (National Unity Government=NUG) ซึ่งมีฐานที่มั่นอยู่ในรัฐชินใกล้ชายแดนอินเดีย ติดกับรัฐมณีปุระ จะสร้างหายนะให้ประเทศเพื่อนบ้าน แล้วก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ
แต่ก่อนจะเข้ารายละเอียดบทความวอชิงตันโพสต์ขอให้ข้อมูลเพื่อความเข้าใจว่าประธานาธิบดีของ เอ็นยูจีซึ่งเป็นรัฐบาลเงาเมียนมา ชื่อว่า ดู่หว่า ละชี ละ นายดู่หว่าละชี ละ เป็นชาวเขาเผ่าชิน ที่ไม่ประสีประสาทั้งการต่างประเทศและทหาร ถูกซีไอเอ อุปโลกน์ขึ้นมาให้เป็นประธานาธิบดีของฝ่ายนางออง ซาน ซู จี เพราะชาวเขาเผ่าชินว่านอนสอนง่าย รัฐเงาเมียนมาจึงมีฐานที่มั่นอยู่ในรัฐชินมีชายแดนติดกับรัฐบาลมณีปุระ นั่นคือที่มาของรายงานพิเศษหัวข้อ“มณีปุระหายนะเพราะผู้อพยพเมียนมา”
วอชิงตันโพสต์เปิดประเด็นรายงานพิเศษว่า อิมผาลเมืองหลวงของรัฐมณีปุระ เป็นรัฐในทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศอินเดีย มีอาณาเขตติดต่อกับรัฐชินประเทศเมียนมา อิมผาลเคยเป็นเมืองที่รุ่งโรจน์เป็นที่เชิดหน้าชูตา เมื่อมีคณะเจ้าหน้าที่ต่างชาติจากประเทศจี 20 ผู้มั่งคั่งมาเยือน ต่างพากันชื่นชมความเจริญ ค้าขายของเมืองชายแดนที่มีห้างสรรพสินค้า มีร้านค้าโชว์สินค้าแบรนด์เนม จากต่างประเทศและสินค้าพื้นเมือง เมืองนี้นับว่าเป็นเมืองชายแดนที่นักธุรกิจหัวใสในอินเดียหมายมั่นปั้นมือจะขยายการค้าให้รุ่งเรืองเป็นเมืองสวรรค์ของนักท่องเที่ยว
แต่วันนี้ อิมผาลกลายเป็นเมืองที่อึมครึมมืดมน อาคารร้านค้าถูกทิ้งให้รกร้าง หรือไม่ในอาคารก็เต็มไปด้วยทหาร อาสาสมัครกู้ภัย และคนไร้ที่อยู่อาศัย เวลาส่วนใหญ่ของอาทิตย์แรกเดือนพฤษภาคม รัฐที่มีประชากร 3.2 ล้านคนเดือดพล่านไปด้วยการก่อจลาจลการประท้วง การปะทะรบราฆ่ากันบนถนน ในชุมชนในที่สาธารณะเป็นเหตุให้มีคนตายไม่น้อยกว่า 70 ราย ชาวบ้าน 48,000 คน ไร้ที่อยู่อาศัย บ้านเรือนถูกเผาทำลาย วัดวาอาราม โบสถ์คริสต์ถูกเผาเป็นจุณ สาเหตุการปะทะที่เดือดพล่านของชนเผ่ากลุ่มต่างๆ ส่วนหนึ่งคุกรุ่นมาจากความขัดแย้งเรื่องผู้อพยพจากประเทศเมียนมา ซึ่งเป็นชนวนระเบิดความรุนแรงกลายเป็นการรบราฆ่าฟันกันตลอดทั้งเดือน
การยึดอำนาจในสหภาพเมียนมา เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2564 เป็นเหตุให้มีผู้อพยพทะลักเข้ามาตลอดแนวชายแดนผ่านช่องทางธรรมชาติที่มีตลอดแนวชายแดนยาวนับพันกิโลเมตร กินพื้นที่สามในสี่ส่วนของบ้านเมืองป่าเขาพื้นที่ยากจนในรัฐมณีปุระ ประเทศอินเดีย ประเทศที่มีปัญหาชนเผ่าต่างๆ รบราฆ่าฟันกันมายาวนาน กลียุคในมณีปุระ ครั้งล่าสุดนี้แสดงให้เห็นว่า วิกฤตการเมืองในเมียนมามีผลกระทบร้ายแรงต่อภูมิภาคอย่างไร และนโยบายปกครองอินดูคลั่งชาติของรัฐบาล ได้สุมฟืนเข้ากองไฟแห่งความขัดแย้งของชนเผ่าและศาสนา เป็นเหตุให้ความแตกแยกในประเทศเพิ่มความรุนแรงขึ้น
“ตั้งแต่เกิดการยึดอำนาจในเมียนมา ความรุนแรงที่เกิดขึ้นเวลานี้ นับเป็นครั้งแรกที่เราเห็นว่ามีผู้อพยพจำนวนมากเข้ามาแล้วสร้างปัญหาภายในให้เรา” โคปาล กริศนา
พิไล อดีตมุขมนตรี และเลขาธิการร่วมกิจการตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดียกล่าว ซึ่งสะท้อนความเห็นของเจ้าหน้าที่ที่โทษว่าผู้อพยพเป็นต้นเหตุของกลียุค
มณีปุระเหมือนกับหลายเมืองในประเทศอินเดียที่มีเรื่องราวซับซ้อนของประชากรศาสตร์ ที่มีชนเผ่าสำคัญๆอยู่สามกลุ่ม ได้แก่ หนึ่งเผ่าเมเต ซึ่งส่วนใหญ่เป็นอินดู ที่ครอบงำทางการเมืองและภูมิภาคต่างๆ มายาวนาน สองกลุ่มชาวคริสเตียนส่วนน้อย และมีอีกสองเผ่าใหญ่คือเผ่านาคา และเผ่าคูคิ ที่สำคัญคือ เผ่าคูคิ มีความสัมพันธ์และเชื้อสายเดียวกันกับเผ่าชินในเมียนมาที่หนีข้ามชายแดนเข้ามา
เมื่อผู้อพยพจากเมียนมาที่เป็นเผ่าชินเข้ามาและผสมกลมกลืนเข้ากับเผ่าคูคิ ชาวชินจากเมียนมาก็แสดงท่าทีเป็นเจ้าของพื้นที่ทำกิน ได้สร้างความไม่พอใจให้กลุ่มชาติพันธุ์เมเตที่เห็นว่า กฎหมายคุ้มครองพิเศษของชนเผ่าอื่นมากไป
เผ่าเมเต เป็นรัฐบาลมณีปุระ มายาวนานซึ่งบริหารโดยมุขมนตรีของพรรคภารตียชนตา(บีเจพี) บีเจพีได้ตีตราบาปว่าผู้อพยพเผ่าชินเป็นผู้คุกคามความมั่นคงภายใน ทำให้เผ่าคูคิซึ่งต้อนรับและชักนำผู้อพยพจากเมียนมาเข้ามา โกรธแค้นมาก เผ่าคูคิมองว่ามาตรการต่างๆของรัฐบาลบีเจพีล้วนเป็นการเหยียดเผ่าพันธุ์ทำให้เกิดการประท้วงอย่างกว้างขวางและลุกลามกลายเป็นการโจมตีพังทำลายเผาอาคารบ้านเรือนโจมตีซึ่งกันและกันของคนต่างเผ่า
ข่าวการฆ่าฟันกันอย่างโหดร้ายทารุณ กระตุ้นให้เกิดความโกรธแค้นโจมตีแก้แค้นซึ่งกันและกัน และรัฐบาลได้ตัดสัญญาณอินเตอร์เนตในมณีปุระ สามอาทิตย์เพื่อระงับสำนวนโวหารที่ยั่วยุท้าทายกันทางโซเชียลมีเดีย “ชาวคูคิ ผู้อาศัยอยู่ที่นั่นและผู้อพยพที่เข้ามาหลังจากการยึดอำนาจในเมียนมา สุมหัวกันปล้นสะดมและเผาอาคารบ้านเรือนนายกำบา เผ่าเมเตผู้อพยพมาจากมอเร ซึ่งเป็นเมืองชายแดนกล่าว เขาเล่าว่าได้เห็นฝูงชนบุกเข้าไปในบ้านเรือนประชาชน และจุดไฟเผาวัด เขาต้องหนีมาอาศัยหอพักในเมืองอิมผาล พร้อมด้วยคนอื่นๆ อีก 450 คน
“เราจำเป็นต้องทิ้งบ้านช่องเพราะผู้อพยพผิดกฎหมายจากเมียนมา เราอยากกลับบ้านเพราะนี่มันเป็นประเทศของเรา”เขากล่าว และบอกแต่ชื่อต้นเพื่อความปลอดภัย
30 ไมล์จากเมืองกังโพกพิ เลตมินลอล เฮาคิบผู้หนีจากอิมผาล หลังจากฝูงชนเผาบ้านและโบสถ์ที่นั้น“เราโกรธมากเมื่อพวกเขาเรียกเราว่า เป็นผู้อพยพเมียนมา”เธอพร้อมคนอื่นๆ หนีตายมาพักอาศัยอยู่ในบริเวณโบสถ์คริสต์ 200 คน “พวกเขาเรียกเราเป็นผู้อพยพเมียนมาเพื่อแบ่งขั้วทางการเมือง สร้างประเด็นความขัดแย้งภายใน เพื่อให้รัฐบาลปราบปรามพวกเรา”
คิม กังเต อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรซึ่งหนีจากอิมผาลเช่นกัน ตำหนิรัฐบาล บีเจพี ที่ปล่อยให้เหตุการณ์บานปลาย “ทำไมเราปล่อยให้โบสถ์กว่า 200 แห่ง ถูกเผาทำลายในประเทศประชาธิปไตยอย่างอินเดีย ในประเทศที่ทุกคนมีเสรีภาพในทางศาสนา ฉันเศร้าใจมากที่ผู้นำไม่ได้เตรียมการระงับเหตุล่วงหน้าเพื่อทำให้อารมณ์คนเย็นลง”
ในปี 2564 ทหารเมียนมายึดอำนาจรัฐบาลจากการเลือกตั้งกระตุ้นให้เกิดสงครามกลางเมืองซึ่งส่งผลให้ผู้อพยพส่วนใหญ่ เป็นเผ่าชินหนีข้ามชายแดนเข้าประเทศอินเดีย ยังไม่มีบันทึกเป็นทางการแต่คาดการณ์ว่าประมาณ 70,000 คน
เจ้าหน้าที่รัฐกล่าวด้วยว่าความไร้เสถียรภาพเกิดขึ้นเพราะสงครามกลางเมืองในเมียนมาได้ทำให้มีการลักลอบขนยาเสพติดข้ามชายแดนมากขึ้น การปลูกฝิ่นและการค้าฝิ่นขยายตัวเพิ่มขึ้นมาอย่างน่าวิตก
รัฐบาลมณีปุระ ได้ใช้ความชอบธรรมในการปราบปรามผู้อพยพผิดกฎหมายเป็นส่วนหนึ่งของสงครามยาเสพติด
โดยกล่าวหาว่า ชนเผ่าคูคิ-ชิน มีส่วนเกี่ยวข้องกับมาเฟียค้ายาเสพติดชาวเมียนมา “เครือญาติชิน-คูคิ บุกรุกรุกล้ำเข้าไปทุกที่และปลูกฝิ่นและค้ายาเสพติด” พิเรน ซิงห์ มุขมนตรีมณีปุระ สัมภาษณ์รายการทีวีเมื่อเดือนมีนาคม...”ดังนั้นรัฐบาลต้องทำทุกวิถีทางเพื่อขจัดขบวนการนี้”
แต่ผู้สังเกตการณ์บางคนยังคงยืนยันว่า รัฐบาลใช้ชนเผ่าเป็นแพะรับบาป “เวลานี้มันง่ายมากที่จะชี้นิ้วว่า เผ่าคูคิเป็นผู้หลบหนีเข้าเมืองผิดกฎหมาย” อาชอย กุมาร จากพรรคฝ่ายค้าน ผู้ไปเยือนมณีปุระในฐานะผู้สังเกตการณ์แถลงข่าวเมื่อวันพุธที่ 24 พ.ค. เขากล่าวหารัฐบาล บีเจพี ว่า “สร้างความแตกแยกในสองชุมชน คำพูดเช่น “ผู้หลบหนีเข้าเมือง” “ยาเสพติด ปลูกฝิ่นค้าฝิ่น” ถูกนำมาใช้กับประชากรของประเทศตัวเอง จากคำพูดของพิเรน ซิงห์” อาชอย กุมาร กล่าว
ตั้งแต่มีการยึดอำนาจในเมียนมา รัฐบาลมณีปุระ เร่งรีบรื้อถอนบ้านเรือนผลักไส ไล่ส่งเผ่าคูคิออกจากหมู่บ้านป่า และ ตั้งกรรมการชุมชนขึ้นมาตอบสนองกับความต้องการของเผ่า“เมเต”ว่าต้องตรวจสอบเอกสารประจำตัวของผู้หลบหนีเข้าเมืองผิดกฎหมายทุกอาทิตย์
รัฐบาลกลางก็เช่นกันกล่าวหาเผ่าคูคิ ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในป่าเขาว่าทำลายธรรมชาติสิ่งแวดล้อมและใช้เหตุผลนั้น เป็นพื้นฐานขับไล่พวกเขาออกจากพื้นที่ทันทีที่ความรุนแรงเกิดขึ้น
รายงานพิเศษของวอชิงตันโพสต์ ยังมีความเห็นอีกมากมาย แต่ละไว้เป็นที่เข้าใจ เพื่อได้มีพื้นที่เหลือทำความเข้าใจกับนักการเมือง ที่ฝักใฝ่ฝ่ายต่อต้านรัฐบาลทหารเมียนมา และเรียกร้องให้รับผู้อพยพที่หนีจากการปราบปรามรัฐบาลทหารเมียนมา เข้ามาอยู่ในประเทศไทย ว่าให้พรรคก้าวไกล มองความหายนะในมณีปะรุ เป็นอุทาหรณ์
หรือถ้าไม่เป็นคนความจำสั้น ก็ให้นึกถึงเหตุการณ์นักศึกษาเมียนมาจี้เครื่องบินสายการบินเมียนมาไปลงที่อู่ตะเภาปี 2532 และ นักศึกษาเมียนมา 12 คน บุกเข้ายึดสถานทูตเมียนมาในปี 2542 ทั้งสองเหตุการณ์รัฐบาลไทยใช้หลักรัฐศาสตร์ใช้ความเมตตาปล่อยนักศึกษาเมียนมาเป็นอิสระ ต่อมา นักศึกษาพวกนี้ ได้รับการดูแลจากประเทศตะวันตกผ่านทางยูเอ็นเอชซีอาร์แล้วผลที่ออกมาเป็นอย่างไร ในปี 2543 นักศึกษาเมียนมาในนามกองทัพแห่งพระเจ้า (God Army) 10 คนพร้อมอาวุธครบมือบุกเข้ายึดโรงพยาบาลศูนย์ราชบุรีจับคนป่วย หมอ พยาบาลกว่า 500 คน เป็นตัวประกัน หน่วยอรินทราชใช้เวลากว่ายี่สิบชั่วโมง ถึงเด็ดหัวสิบก๊อดอาร์มี่ได้ ช่วยชีวิตตัวประกันออกมาได้ด้วยใจระทึก
ดังนั้นพรรคก้าวไกลอย่าเชื่อแต่ปฏิบัติการข่าวของซีไอเอ ให้ดูความวิบัติกลียุคในมณีปุระและการก่อการร้ายที่เคยเกิดขึ้นในบ้านเรา จากฝีมือผู้อพยพชาวเมียนมา ซึ่งบางครั้งเข้ามาในรูปนักศึกษาแล้วจะพบว่า ความเป็นจริง คือ หายนะหากไปรับผู้อพยพเมียนมารุ่นใหม่มาเลี้ยงไว้ในบ้านเรา
สุทิน วรรณบวร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี