นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เคยเป็นนักการเมือง สมาชิกพรรคอนาคตใหม่ ต่อมาก็มาเป็นนักการเมืองพรรคก้าวไกล เป็นหัวหน้าพรรคมาแล้วตลอดชั่วเวลารัฐบาลที่ผ่านมา ก่อนหน้านี้ก็เป็นแค่ม้านอกสายตา หามีใครสนใจเท่าใดไม่เพราะอายุยังน้อย มัวแต่คิดปรามาสว่าเด็กน้อยจะทำอะไรพวกลุงได้
ครั้นผลเลือกตั้งที่ไม่เป็นทางการปรากฏออกมาปรากฏว่าพรรคก้าวไกลชนะเป็นลำดับที่ 1 ผิดความคาดหมายของพวกนักวิเคราะห์ทั้งหลายทั้งปวงโดยเฉพาะหน่วยงานที่ส่งรายงานให้แก่ผู้มีอำนาจในรัฐบาล ที่ถึงขั้นเชื่อมั่นว่าพรรคของพลเอกประยุทธ์จันทร์โอชา จะชนะแบบแลนด์สไลด์ โดยมีผู้ไปลงคะแนนเสียงให้ถึง 20 ล้านคน
ทำให้เกิดสถานการณ์ช็อกทางการเมืองขึ้น และทันทีที่ปรากฏผลเลือกตั้งที่ไม่เป็นทางการ บรรดากระแสทั้งหลายและ IO ทั้งมวลที่เสกสร้างขึ้นมาโจมตีพรรคเพื่อไทยเพราะความกลัวแลนด์สไลด์ก็เบนเข็มเปิดฉากถล่มพรรคก้าวไกล โดยเฉพาะ นายพิธาลิ้มเจริญรัตน์ ชนิดสุดลิ่มทิ่มประตู ไม่ต่างกับกระต่ายที่นอนอย่างเพลินสบายแล้วลูกมะพร้าวหล่นลงมาก็ตื่นตระหนกตกใจว่าเป็นฟ้าผ่าวิ่งกระเจิดกระเจิงเป็นกระต่ายบ้า
มีการสุมหัวกันเพื่อจะสอยนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์และพรรคก้าวไกลให้ราบคาบ ถึงขั้นประกาศบันได 6 ขั้นในการปฏิบัติการดังกล่าว จากนั้นก็มีการขับเคลื่อนไปตามแผนบันได 6 ขั้นนั้นชนิดเย้ยฟ้าท้าดิน จนลืมคำนึงไปว่าจู่ๆ การยกเอาเรื่องหุ้นไอทีวีมาเป็นเหตุในการสอยนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และผู้ชนะเลือกตั้งของพรรคก้าวไกล 151 คนนั้น ทำให้ประชาชนทั้งประเทศเขามองเรื่องนี้ว่าอย่างไร
เขาก็มองว่าเป็นการหาเรื่องไม่ยอมรับผลการเลือกตั้งที่ประชาชน 14 ล้านเสียง เทคะแนนให้กับพรรคก้าวไกล และเมื่อมีการออกแถลงการณ์ร่วมของคณะรัฐบาลชุดใหม่แล้วเขาก็มองว่าเป็นการหาเรื่องไม่ยอมรับผลเลือกตั้งของประชาชน 24 ล้านเสียง กระทั่งกลายเป็นกระแสความขัดแย้งหลักในบ้านเมืองอยู่ในปัจจุบันนี้
รัฐสภาสหรัฐได้ออกมติ 2 ฉบับ ให้แทรกแซงกิจการภายในของประเทศไทย ซึ่งย่อมรวมถึงการแทรกแซงด้วยประการต่างๆ ในทางการเมือง ซึ่งก็รู้ๆ กันอยู่ว่ามุ่งสนับสนุนให้พรรคก้าวไกลจัดตั้งรัฐบาลและนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกรัฐมนตรี
แน่นอนว่าเมื่อสหรัฐออกหน้าอย่างนี้แล้ว บรรดาประเทศนาโตและสหภาพยุโรปรวมทั้งประเทศลิ่วล้อบริวารทั้งหลายก็จะเดินตาม นี่คือมหันตภัยที่กำลังยืนทะมึนขึ้นเหนือบรรยากาศของประเทศไทย ที่ถ้าหากใครมองไม่เห็นแล้วก็เท่ากับมองไม่เห็นมฤตยูซึ่งมาจ่อหัวอยู่แล้ว
เรื่องหุ้นไอทีวีที่จะเอามาสอยนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์และผู้ชนะเลือกตั้งของพรรคก้าวไกล 151 คนนั้น ก็ชัดเจนว่าเดิมทีไอทีวีเป็นผู้ประกอบการสื่อโทรทัศน์ที่ต้องอาศัยคลื่นสัญญาณของรัฐบาล และรัฐบาลได้ยึดสื่อสัญญาณนั้นมาร่วม 20 ปีแล้ว ไอทีวีจึงต้องหยุดประกอบกิจการ คงเหลือแต่การจัดเก็บรายได้จากผลประโยชน์และเงินฝากซึ่งมีหลักฐานเป็นงบดุลที่ทางราชการ
สภาพเช่นนั้นก็ชัดเจนอยู่แล้วว่าไอทีวีไม่ใช่สื่อ ซึ่งคนทั้งหลายก็รู้กันทั้งบ้านทั้งเมือง แต่ก็ยังมีคนบิดตะกูดถือว่าเป็นสื่อ
มีการตั้งข้อกล่าวหาจากขบวนการไสยศาสตร์เกี่ยวกับหุ้นไอทีวีนี้เป็นสามสถาน แล้วก็ปลุกกระแสชี้นำว่านายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ จะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไม่ได้ จะต้องเลือกตั้งใหม่แทนผู้สมัครของพรรคก้าวไกลที่ชนะเลือกตั้ง 151 คนทั่วประเทศ จนเกิดความสับสนวุ่นวาย เอื้อประโยชน์ให้แก่การถ่วงเวลารักษาการ ซึ่งใครๆ ก็เข้าใจได้
แท้จริงแล้วบรรดาเรื่องที่ยกขึ้นกล่าวหานั้นนอกจากมูลเหตุจูงใจเพื่อจะสอยนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์และผู้สมัครพรรคก้าวไกลแล้ว ข้อหาก็มีอยู่สามข้อ ซึ่งแต่ละข้อก็ไม่เห็นเป็นความผิดอะไรคือ
ข้อแรก นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ถือหุ้นสื่อหรือไม่ในเรื่องนี้หุ้นที่ถือมีจำนวนน้อยมาก กรณีต้องด้วยบรรทัดฐานที่ทั้งศาลฎีกาและศาลรัฐธรรมนูญเคยวินิจฉัยตรงกันว่าไม่ผิด นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ จึงไม่ขาดคุณสมบัติผู้สมัครรับเลือกตั้ง
ข้อสอง นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ในฐานะหัวหน้าพรรคได้ลงชื่อรับรองผู้สมัครของพรรค จึงทำให้ผู้สมัครเหล่านั้นตกเป็นโมฆะไปด้วย ข้อนี้ทั้งกฎหมายตลอดจนอดีต กกต. อดีตเลขาธิการ กกต. ก็ยืนยันตรงกันว่าผู้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคนั้นไม่มีกฎหมายห้ามในการถือหุ้นสื่อ ดังนั้นการรับรองจึงชอบด้วยกฎหมายเลือกตั้งและกฎหมายพรรคการเมืองแล้ว และความจริง กกต. ก็ได้ตรวจสอบการสมัครรับเลือกตั้งทุกรายแล้วว่ามีการรับรองโดยชอบและมีคุณสมบัติถูกต้อง ดังนั้นจึงไม่กระทบใดๆ ต่อผู้สมัคร สส. ของพรรคก้าวไกล
ข้อสาม นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี เมื่อขาดคุณสมบัติ ผู้สมัคร สส. จึงเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีไม่ได้ ข้อนี้เป็นเรื่องที่เลอะเทอะที่สุด เพราะในขณะเสนอชื่อเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีนั้นกฎหมายไม่ได้ห้ามเรื่องการถือหุ้นสื่อ แต่ถ้าเมื่อใดก็ตามที่ได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีก็ต้องมีคุณสมบัติตามที่กฎหมายกำหนด ดังนั้นต่อให้ในขณะเสนอชื่อเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีแล้วนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ถือหุ้นสื่อจริงก็ไม่มีปัญหาอะไรจะต้องคอยดูก่อนที่ได้รับความเห็นชอบเป็นนายกรัฐมนตรีว่ามีคุณสมบัติถูกต้องครบถ้วนหรือไม่
นี่คือข้อกล่าวหาที่จ้องจะใช้สอยนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และผู้สมัครของพรรคก้าวไกล ซึ่งคงสอยไม่สำเร็จ ได้อย่างมากก็แค่สร้างความปั่นป่วนวุ่นวายในบ้านเมืองเท่านั้น
ยิ่งกระเหี้ยนกระหือรือที่จะสอยมากเท่าใดก็ให้จับตาดูกันให้ดีว่ามหาอำนาจและประชาชนที่เลือกตั้งเขาจะว่าอย่างไร เพราะขณะนี้ก็เริ่มเกิดกระแสรับรองนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกรัฐมนตรีกันแล้ว ถ้าหากเกิดกรณีบิดเบือนกฎหมายโดยไม่ชอบและไม่ได้รับการยอมรับขึ้นมาก็ให้ระวังว่าพวกหนึ่งอาจจะรับรองนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกรัฐมนตรีกันเองเหมือนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเวเนซุเอลาและพม่าในขณะที่ขบวนการไสยศาสตร์ก็ว่าไปอีกทางหนึ่ง
ประเทศไทยก็จะมีสองรัฐบาล ประเทศไทยจะไม่กลายเป็นสองเมืองดอกหรือ ดังนั้น จะทำอะไรก็ให้คำนึงถึงความถูกต้องชอบธรรมกันไว้บ้าง และให้เกรงใจประชาชนที่เขาเลือกตั้งกันบ้าง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี