วันที่ 13 กรกฎาคม 2566 มีประชุมร่วมสมาชิกรัฐสภาเพื่อสรรหานายกรัฐมนตรี ตามบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ ตามกำหนดการที่ประธานรัฐสภาแจ้งวาระต่อที่ประชุมแล้ว คาดว่าจะลงมติได้ประมาณ 17.00 น. เพื่อให้ทันเวลา ปิดกรอบหนังสือพิมพ์วันศุกร์ บทความชิ้นนี้ ต้องเขียนก่อนที่รัฐสภา ได้ข้อยุติว่าจะลงมติให้นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ได้เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทยหรือไม่ แต่ผู้เขียนมั่นใจว่าในที่ประชุมรัฐสภาสมาชิก 750 คน ไม่ลงคะแนนเป็นส่วนมากถึง 376 เสียงให้นายพิธาได้เป็นนายกรัฐมนตรี นายพิธาตกสวรรค์ ได้เป็นนายกฯทิพย์ ตามที่พยายามทำตัวว่า ข้าเป็นนายกรัฐมนตรีแล้วต่อไป
มีเหตุผลหลายประการที่ทำให้ผู้เขียนและคนไทยหลายสิบล้านคน เชื่อว่านายพิธาไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี เหตุผลข้อแรก คือ พรรคที่ผู้ก่อตั้งมีเป้าหมายบั่นทอนความมั่นคงสถาบันพระมหากษัตริย์อันเป็นศูนย์รวมจิตใจของคนไทยทั้งชาติ ถึงแม้ผู้ก่อตั้งพรรคถูกศาลรัฐธรรมนูญตัดสิทธิ์ทางการเมืองไปแล้ว พร้อมกับการยุบพรรคอนาคตใหม่ และพรรคที่ถูกยุบไปเปลี่ยนชื่อใหม่ เป็น พรรคก้าวไกล หัวหน้าพรรคและสมาชิกที่เปลี่ยนมาเป็นพรรคก้าวไกล อุดมการณ์ ความมุ่งมั่นและเป้าหมายในการบั่นทอนความมั่นคงของสถาบันพระมหากษัตริย์ยังเหมือนเดิม ไม่ได้ลดน้อยถอยลงไป
หนำซ้ำกลับเดินหน้าบั่นทอนความมั่นคง และบั่นทอนพระราชอำนาจสถาบันพระมหากษัตริย์ด้วยความพยายามผลักดันให้สภาผู้แทนราษฎร แก้ไขและยกเลิกกฎหมายอาญา มาตรา 112 ซึ่งเป็นกฎปกป้องสถาบัน
เมื่อล้มเหลวไม่สามารถทำให้กฎหมายบรรจุในวาระการประชุมสภาผู้แทนราษฎรชุดที่ผ่านมาได้ สมาชิกพรรคก้าวไกลสมคบกับคณะอดีตผู้ตั้งพรรคอนาคตใหม่เดินหน้าสนับสนุนคนรุ่นใหม่ ในขบวนการใส่ร้ายโจมตีสถาบัน ถึงแม้ศาลรัฐธรรมนูญเคยตัดสินแล้วว่าจำเลยที่โจมตีสถาบันและเรียกร้องกดดันให้ยกเลิกกฎหมายอาญา มาตรา 112 เป็นการกระทำการที่ขัดรัฐธรรมนูญและเข้าข่ายล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข แต่สส.ก้าวไกลรวมทั้งหัวหน้าพรรคยังเดินหน้าสนับสนุนจำเลยที่ถูกเนินคดีละเมิดกฎหมายอาญามาตรา 112 ต่อไปโดยการจัดหาทนายแก้ต่างให้ ใช้ตำแหน่ง สส.ประกันตัวจำเลยออกจากที่คุมขังชั่วคราว พรรคก้าวไกลท้าทายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมโดยการส่งจำเลยที่อยู่ระหว่างถูกดำเนินคดีมาตรา 112 ลงสมัคร สส.จนได้รับเลือกตั้ง ทั้งๆที่
จำเลยรู้ตัวล่วงหน้าว่า หากศาลตัดสินว่าผิดจะหมดสิทธิเป็น สส.ทันที
สส.ชลธิรา แจ้งเร็ว สส. ก้าวไกล จ.ปทุมธานี เป็นจำเลยในคดี 112 สองกรรม สองวาระกล่าวหาว่าองค์คณะผู้พิพากษาไม่ยุติธรรมที่เดินหน้าพิจารณาคดีของเธอ ในขณะที่ทนายฝ่ายจำเลยไม่พร้อม วันที่ 7 กรกฎาคม หนึ่งอาทิตย์ก่อนประชุมร่วมรัฐสภา เพื่อสรรหานายกรัฐมนตรี สส.ธิษะณา ชุณหะวัณ จากพรรคก้าวไกล นำคณะประท้วงที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เรียกร้องกดดันให้ปล่อยตัวจำเลยในคดีอาญา มาตรา 112 ทุกคน
จากพฤติกรรมการกระทำต่อเนื่องของ สส.ก้าวไกล เป็นการยืนยันว่าพรรคก้าวไกล มีเป้าหมายบั่นทอนทำลายสถาบันต่อไป
การบั่นทอนความมั่นคงสถาบันพระมหากษัตริย์โดยการแก้หรือยกเลิกมาตรา112 และ#ล่าสุดเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม ที่ผ่านมา คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ส่งเรื่องไปให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณากรณีนายพิธาถูกร้องว่าถือหุ้นสื่อ ซึ่งหากศาลสั่งให้นายพิธาหยุดปฏิบัติหน้าที่ระหว่างศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาคดี คงเป็นเหตุผลมากพอที่ทำให้สว.ส่วนใหญ่ไม่โหวตให้นายพิธาได้เป็นนายกรัฐมนตรี
ถึงแม้พรรคแปดพรรคร่วมรัฐบาลรวมกันมี 312 เสียงแล้วก็ตาม ซึ่งรัฐธรรมนูญ 2560 บัญญัติว่า นายกรัฐมนตรีต้องได้รับเลือกเกินครึ่งหนึ่งของที่ประชุมร่วมกันของสมาชิกรัฐสภา 750 คน นั้นหมายความว่านายพิธาต้องได้รับการสนับสนุนจาก สว. อย่างน้อย 64 คน
ซึ่งโอกาสที่ได้รับการโหวตจาก สว.ถึง 64 คน มีน้อยเต็มทีถึงไม่มีเลย นี้ยังไม่นับรวมที่กรณีสมาชิกพรรคก้าวไกล สนับสนุนให้แยกดินแดนสามจังหวัดภาคใต้ เป็นเอกราชจากรัฐไทย ตลอดถึงความพยายามเปลี่ยนวันชาติ จากวันที่ 5 ธันวาคม เป็นวันที่ 24 มิถุนายน ตรงกับวันที่คณะราษฎร สมคบกันปล้นพระราชอำนาจและพระราชทรัพย์จากในหลวงรัชกาลที่ 7
นี่ยังไม่กล่าวถึงตัวนายพิธาแคนดิเดตนายกฯที่มีข้อกล่าวหาว่าทำผิดกฎหมายหลายคดี รวมทั้งข้อกล่าวหาถือหุ้นสื่อ ข้อกล่าวหาแจ้งทรัพย์สินไม่ตรงความจริง ตลอดถึงข้อกล่าวหาผิดจริยธรรม ซึ่ง กกต. ป.ป.ช. และ อัยการ กำลังพิจารณาว่า จะเรื่องให้ศาลพิจารณาหรือไม่/วันไหน และล่าสุด กกต.ส่งเรื่องถูกร้องว่าถือหุ้นสื่อ หากศาลรัฐธรรมนูญรับเรื่องพิจารณา และมีคำสั่งให้ผู้ถูกกล่าวหา หยุดปฏิบัติหน้าที่ นี้ก็อีกเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้รัฐสภา ไม่โหวตให้นายพิธา เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30
ภาวะผู้นำและพฤติกรรมของนายพิธาที่แสดงตัวราวว่ากับได้เป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว เป็นส่วนหนึ่งที่สมาชิกรัฐสภานำมาประกอบการพิจารณาเช่นกัน นายพิธา กระทำการมิบังควร ที่เปิดหน้าเพจเป็นภาษาอังกฤษว่า“นี่เป็นเพจทางการของสำนักนายกรัฐมนตรีแห่งประเทศไทย” เพื่อให้ต่างประเทศเข้าใจว่านายพิธา เป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว
นายพิธาเดินสายพบประชาชนในฐานะ ว่าที่นายกรัฐมนตรี และความด้อยวุฒิภาวะของนายพิธา ที่เขียนทวีตเตอร์ถึงนักร้องดัง เทเลอร์ สวิฟท์ ให้มาแสดงคอนเสิร์ตในประเทศไทย โดยกล่าวว่า บัดนี้ประเทศไทยเป็นประชาธิปไตยแล้ว ถูกวิพากษ์วิจารณ์จากสังคมไทยอย่างไม่ไว้หน้า
นายสุรชัย จันทิมาธร หรือ หงา คาราวาน นักร้องนำและผู้ก่อตั้งวงคาราวาน โพสต์ข้อความว่า “เกิดอะไรขึ้น? ผมเคยดู โคลด์เพลย์ จอห์น เมย์เยอร์ กัน แอนส์ โรส หรืออะไรมากมายในยุคเผด็จการที่คุณว่านะครับ เทเลอร์ สวิฟท์ เธอรังเกียจเผด็จการดังที่คุณว่า จริงๆ เหรอไม่อยากมาเมืองไทย หรือว่าเป็นเรื่องธุรกิจจัดการของสายทัวร์ #ลบเถอะครับคุณพิธาทวิทนี้ มันเป็นตรรกะที่ทำให้ดูงี่เง่าครับ..”
นายอาคม มกรานนท์ โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กตอนหนึ่งว่า“ผู้เสนอตัวจะมาเป็นผู้นำ เรียกร้องให้ต่างชาติเข้ามาแสดงคอนเสิร์ต แน่ละ ถ้าเขาเข้ามาแสดง เขาก็ต้องมาเก็บค่าเข้าชม ขนเงินกลับประเทศเขา เห็นภาวะการเป็นผู้นำของเขาแล้ว ไม่ทราบว่าจะเรียกว่า“โง่หรือฉลาด”ดีล่ะ พูดกันตามตรง คนเราสติปัญญา มันต่างกัน มันก็เป็นอย่างนี้แหละ
ลุงตู่ชวนซาอุดีอาระเบีย มาลงทุนเป็นแสนๆล้านบาท แต่คนที่จะมาเป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 30 เชิญชวนนักร้องต่างประเทศ เข้ามาขนเงินออกนอกประเทศ เห็นหรือยังว่า “สติปัญญามันต่างกันแค่ไหน”
กล่าวโดยสรุป คือ อุดมการณ์และเป้าหมายของพรรคก้าวไกล ปัญหาข้อกฎหมายตลอดถึงวุฒิภาวะของนายพิธา เป็นเหตุผลมากพอที่ทำให้สมาชิกรัฐสภา ไม่ลงคะแนนให้นายพิธา เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ถึงแม้รัฐสภาจะลงมติกี่ครั้งก็ยังเหมือนเดิม
สุทิน วรรณบวร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี