กรุงศรีอยุธยา เสียอิสรภาพให้กับพม่าเป็นครั้งที่ ๒ เมื่อวันที่ ๗ เมษายน พุทธศักราช ๒๓๑๐ และหากขาดเสียซึ่งสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช วันนี้ก็คงจะไม่มีชาติไทย
ในช่วงปีพุทธศักราช ๒๓๐๘ พม่าได้ยกกองทัพใหญ่เข้ามาโจมตีกรุงศรีอยุธยา เพื่อให้ตกเป็นเมืองขึ้นของพม่าให้ได้ โดยพระเจ้ามังระให้แยกทัพออกเป็น ๒ กอง กองทัพฝ่ายเหนือนำทัพมาโดยเนเมียวสีหบดี มีกำลังพลประมาณ ๕๐,๐๐๐ คนกองทัพฝ่ายใต้นำทัพมาโดยมังมหานรธา มีกำลังพลประมาณ ๓๐,๐๐๐ คน และหลังจากที่ได้มาล้อมกรุงศรีอยุธยาอยู่เป็นระยะเวลา ๑๔ เดือน ก็สามารถยึดกรุงศรีอยุธยาได้ และเผาทำลายจนเกือบจะสิ้นซาก ทำให้ราชธานีแห่งนี้ที่หากอยู่มาจนถึงปัจจุบันจะเป็นกรุงที่มีความงดงามอลังการเป็นอย่างยิ่งล่มสลายลง
พระยาวชิรปราการ ผู้เป็นเจ้าเมืองกำแพงเพชรในขณะนั้น ซึ่งต่อมาคือสมเด็จพระเจ้าตากสิน ได้รับมอบหมายให้นำทัพเพื่อช่วยป้องกันกรุงศรีอยุธยาอยู่ด้วย ได้พิจารณาแล้วเห็นว่า จากการแตกความสามัคคีภายในกรุงศรีอยุธยาที่ปรากฏชัดมากขึ้นเรื่อยๆ กรุงศรีอยุธยาคงจะถูกตีแตกแน่ จึงได้ตัดสินใจยกกองกำลัง จำนวนราว ๕๐๐ คน หนีออกจากค่ายพิชัย ชานกรุงศรีอยุธยา โดยตั้งใจไว้ตั้งแต่แรกว่าจะต้องกลับมากู้กรุงศรีอยุธยาคืนให้จงได้
การยกกำลังหนีออกมานั้น ต้องตีฝ่าทัพของพม่ามาเกือบจะตลอดทาง และเกือบจะทุกวันในระยะแรก โดยมุ่งหน้าไปทางสระบุรี นครนายก สู่ปราจีนบุรี และ ลงมาที่ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ไปยังจังหวัดระยอง โดยระหว่างทางนอกจากการรวบรวมไพร่พลแล้ว ยังต้องสู้รบกับพม่าและกับคนไทยกันเองหลายหมู่เหล่า ซึ่งต่างก็คิดจะตั้งตนเป็นใหญ่ การสู้รบที่สำคัญคือที่บ้านโพธิ์สาวหาญ ก่อนพ้นออกจากกรุงศรีอยุธยา ปากน้ำโจ้โล้ ฉะเชิงเทรา เมื่อถึงระยองต้องเข้าต่อสู้กับกองกำลังของผู้ต่อต้านคือ หลวงพลแสนหาญขุนรามหมื่นซ่อง ขุนจ่าเมืองด้วง นายทองอยู่ นกเล็ก ซึ่งมีกำลังพลประมาณ ๑,๕๐๐ คน มีการปะทะกันอย่างดุเดือดและพระองค์ก็สามารถเอาชนะได้ พระยาวชิรปราการได้สถาปนาตนเองขึ้นเป็น “เจ้า” ที่จังหวัดระยองนี้ และได้ตั้งทัพอยู่เป็นระยะเวลา ๔ เดือน เป็นช่วงที่กรุงศรีอยุธยาแตกพอดี
เจ้าตากได้ส่งคนไปเจรจากับเจ้าเมืองจันทบูรซึ่งปัจจุบันคือจันทบุรีเพื่อให้สวามิภักดิ์ เพราะพระองค์ต้องการยึดจันทบูรไว้เป็นที่มั่น เพื่อรวบรวมกำลังกลับมาตีกองทัพพม่าที่ยึดกรุงศรีอยุธยาอยู่ ในตอนแรกเจ้าเมืองจันทบุรียอมสวามิภักดิ์ด้วย แต่ต่อมาได้เปลี่ยนใจทำให้เจ้าตากตัดสินใจยกกำลังเข้าตีเมืองจันทบูรในวันเสาร์ที่ ๑๔ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๓๑๐ โดยในเย็นวันนั้นได้บอกกับทหารทุกคนว่า เราจะตีเมืองจันทบูรในค่ำวันนี้ เมื่อกองทัพหุงข้าวกินเสร็จแล้ว ทั้งนายไพร่ให้เททิ้งอาหารที่เหลือ และต่อยหม้อเสียให้หมด หมายไปกินข้าวเช้าด้วยกันที่ในเมืองเอาพรุ่งนี้ ถ้าตีเอาเมืองไม่ได้ ก็จะให้ได้ตายเสียด้วยกันให้หมดทีเดียว
ครั้นถึงเวลา ๑๙.๐๐ น. จึงสั่งให้ทหารบางส่วนลอบเข้าไปอยู่ในสถานที่ต่างๆ รอบเมืองตามที่วางแผนไว้ และคอยฟังสัญญาณในการเข้าตีเมือง เมื่อถึงเวลา ๐๓.๐๐ น. เจ้าตากก็ขึ้นคอช้างพังคีรีบัญชร พร้อมยิงปืนส่งสัญญาณให้ทหารเข้าตีเมืองพร้อมกัน โดยเจ้าตากไสช้างเข้าชนประตูเมืองจนพังลง ทำให้ทหารกรูกันเข้าเมืองได้โดยง่าย และรุกรบจนเอาชนะได้ พระยาจันทบูรพาครอบครัวลงเรือหนีไปยังเมืองพุทไธมาศ กรุงกัมพูชา
เมื่อได้เมืองจันทบูรแล้ว พระองค์จึงเริ่มรวบรวมไพร่พลและสรรพาวุธ ตลอดจนต่อเรือเพื่อจะใช้เป็นเรือรบในการที่จะยกทัพทางน้ำกลับมาตีกรุงศรีอยุธยาคืน โดยส่วนหนึ่งของเรือนั้น พระองค์ได้ยกทัพไปที่เมืองตราด แล้วต่อสู้เพื่อยึดเรือสำเภาจากพ่อค้าชาวจีนได้มาจำนวนหนึ่ง รวมทั้งที่ได้ต่อและเพิ่มเติม รวมเป็นเรือที่จะใช้ในการรบได้ทั้งสิ้นประมาณ ๑๐๐ ลำ มีการรวบรวมไพร่พลเพิ่มเติม นำมาฝึกการใช้อาวุธเพื่อใช้ในการต่อสู้ จนมีกำลังรวมทั้งสิ้นทั้งชาวไทยและชาวจีนประมาณ ๕,๐๐๐ คน
เมื่อเห็นว่ามีกำลังคนมากเพียงพอแล้ว จึงวางแผนที่จะยกทัพจากจันทบูรทางทะเลมายังปากแม่น้ำเจ้าพระยา โดยได้รอจนกระทั่งหมดฤดูมรสุม กองทัพของเจ้าตากเดินทางมาถึงปากน้ำ เมืองสมุทรปราการในเดือนตุลาคม พุทธศักราช ๒๓๑๐ และได้เข้าปะทะกับกองกำลังของพม่า ซึ่งรักษาการอยู่ที่ป้อมบางกอก ที่เชื่อว่าสร้างมาตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชซึ่งปัจจุบันคือป้อมวิไชยประสิทธิ์ ที่เจ้าตากได้ให้สร้างขึ้นใหม่ รวมทั้งการสร้างพระราชวังกรุงธนบุรี ในบริเวณป้อมแห่งนี้ด้วยหลังจากที่ได้กอบกู้กรุงศรีอยุธยาได้สำเร็จ และตั้งราชธานีใหม่ที่กรุงธนบุรี
กองกำลังของพม่าที่รักษาป้อมบางกอกอยู่มีนายทองอินทร์ซึ่งเป็นคนไทยที่พม่าตั้งให้เป็นผู้บัญชาการ ได้ส่งข่าวขึ้นไปถึงสุกี้นายกองที่ค่ายโพธิ์สามต้น ซึ่งเป็นแม่ทัพที่พม่าตั้งให้ดูแลกำกับความเรียบร้อยของกรุงศรีอยุธยา หลังจากกองทัพใหญ่ถอยกลับไปแล้ว สุกี้ผู้นี้เป็นผู้ที่ปราบชาวบ้านบางระจันสำเร็จ และ
เนเมียวสีหบดี แม่ทัพพม่าไว้วางใจมาก ทัพของเจ้าตากจับนายทองอินทร์ได้ และได้ประหารชีวิตในฐานะเป็นกบฏขายชาติ
จากนั้นพระองค์จึงยกทัพเรือเดินทางขึ้นไปจนถึงกรุงศรีอยุธยา เพื่อเข้าตีค่ายโพธิ์สามต้น ซึ่งแบ่งออกเป็น ๒ ค่ายอยู่คนละทิศ ทัพของเจ้าตากได้เข้าตีค่ายที่อยู่ทางทิศตะวันออกในตอนเช้าจนสำเร็จ และพอตกค่ำก็บุกเข้าตีค่ายฝั่งตะวันตก โดยให้ทหารส่วนหนึ่งลักลอบเข้าไปประชิดค่ายและนำบันไดพาดกำแพงค่ายปีนขึ้นไปต่อสู้โดยมีกำลังอีกส่วนหนึ่งเข้ามาสมทบ จนกระทั่งถึงเที่ยงคืนจึงยึดค่ายด้านทิศตะวันตกได้สำเร็จ ถือว่าเป็นการทำลายขุมกำลังหลักของพม่าที่รักษากรุงศรีอยุธยาลงได้ทั้งหมด ทำให้กรุงศรีอยุธยากลับคืนมาเป็นของชาติไทยได้อีกครั้งหนึ่ง ในวันที่ ๖ พฤศจิกายน ๒๓๑๐ เป็นวันที่ชาติไทยได้เอกราชกลับคืนมา หลังจากที่เสียอิสรภาพไปเป็นเวลาแค่ ๗ เดือน
ถึงแม้สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชจะมิใช่เป็นหน่อเนื้อเชื้อกษัตริย์ แต่พระองค์ก็มีความเป็นไทยอย่างยิ่ง มีความรักชาติ ได้ต่อสู้อย่างกล้าหาญเกือบจะตลอดระยะเวลาในการศึกตั้งแต่ก่อนที่พม่าจะยกทัพมาบุกกรุงศรีอยุธยา จนกระทั่งหลังจากที่กู้อิสรภาพได้แล้วก็ยังต้องรวบรวมหัวเมืองและเหล่าก๊กต่างๆ ให้เข้ามาเป็นชาติไทยหนึ่งเดียว เมื่อพระองค์ได้ปราบดาภิเษกขึ้นเป็นกษัตริย์แห่งกรุงธนบุรี ซึ่งเป็นราชธานีใหม่ของชาติไทย จึงได้รับก่อนยอมรับจากขุนนางและประชาชนทุกหมู่เหล่า
สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชได้กู้ชาติ และนำอิสระเสรีภาพกลับมาสู่ชาติไทยอีกครั้งหนึ่ง นับเป็นตัวอย่างที่ดียิ่งว่า นักการเมืองหรือผู้ใดก็ตาม ที่จะเข้ามาบริหารบ้านเมือง จะต้องมีและรักษาจิตสำนึกของความเป็นคนไทย ที่ต้องเสียสละและทำทุกสิ่งเพื่อชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์ไว้ให้มั่นคง จะต้องต่อสู้เพื่อรักษาอิสรภาพของชาติไม่ยอมให้ใครมาย่ำยี และไม่ยอมให้ใครกระทำการใดๆแม้แต่แสดงความคิดที่จะแบ่งแยกดินแดน ที่พระมหากษัตริย์ทั้งหลายได้ร่วมกันสร้างไว้ ให้ลูกหลานไทยได้มีแผ่นดินเกิดและอยู่อาศัยอย่างมีความสุข โดยตลอดไป
ปิยะ เนตรวิเชียร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี