นับตั้งแต่วาระแรกที่มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯแต่งตั้งนายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรี ก็ได้แสดงท่าทีที่ชัดเจนในการขับเคลื่อนการส่งเสริมการท่องเที่ยวของประเทศไทย ให้มีบทบาทสำคัญในฐานะเป็นหัวจรวดในการขับเคลื่อนการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศที่ชำรุดทรุดโทรมอย่างรุนแรง
รัฐบาลนี้จัดตั้งขึ้นในสถานการณ์วิกฤตสารพัดรุมเร้า ชนิดที่กล่าวได้ว่าจะตายแหล่ไม่ตายแหล่ไม่ว่าวิกฤตจากความขัดแย้งแตกแยกในประเทศ จากความขัดแย้งของขั้วมหาอำนาจต่างประเทศที่กดดันประเทศไทยอย่างหนักหน่วง และวิกฤตทางเศรษฐกิจที่รุนแรงที่สุด จนอาณาประชาราษฎรเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า
แต่ในท่ามกลางวิกฤตเหล่านั้นก็มีโอกาสอันยิ่งใหญ่ดำรงอยู่ตามกฎแห่งธรรมชาติสังคม เพราะในสภาพเช่นนี้ขอเพียงรัฐบาลเศรษฐาทำความดี ความถูกต้อง ให้ปรากฏผลไม่กี่เรื่องเท่านั้น ความดีความถูกต้องนั้นก็จะขยายผลและสร้างความพึงพอใจให้แก่ประชาชน ซึ่งเป็นกฎธรรมชาติสังคมอีกเช่นเดียวกัน
หลังแถลงนโยบายเสร็จ รัฐบาลเศรษฐาได้ใช้โอกาสที่แฝงอยู่ในวิกฤตอย่างแหลมคมเป็นครั้งแรก นั่นคือลดค่าน้ำมันซึ่งเป็นต้นเหตุความเดือดร้อนของประชาชนและผู้ประกอบการทั่วประเทศมาหลายปีเต็มทีแล้ว ดังนั้น การลดราคาครั้งแรกแม้ยังไม่มากนัก แต่ก็ได้สร้างความพึงพอใจให้เกิดขึ้น ในขณะที่ประชาชนยังมุ่งหวังว่าราคาน้ำมัน ไฟฟ้า และพลังงานต่างๆ ยังคงสามารถลดราคาให้เกิดความเป็นธรรมได้มากกว่านี้
นับว่าเป็นการลงศิลาฤกษ์ของการแก้ไขฟื้นฟูปัญหาเศรษฐกิจของประเทศและความเดือดร้อนของประชาชนที่ตรงเป้าเข้าจุดและเป็นที่ต้องใจของประชาชน
เพียงแค่นี้คนทั้งหลายก็ย่อมเห็นได้แล้วว่ารัฐบาลจากการเลือกตั้งครั้งนี้สามารถตอบสนองความต้องการของประชาชนได้ดีกว่ารัฐบาลก่อน ดังนั้นบรรดากลุ่มผลประโยชน์บางพวกที่ใฝ่ฝันจะฟื้นคืนอำนาจเก่าก็ควรจะเห็นแก่ประเทศชาติและประชาชน ปล่อยให้สถานการณ์ความเป็นไปในบ้านเมืองได้ดำเนินไปในวิถีทางที่ควรเป็น อย่าทำให้ประวัติศาสตร์หมุนวกกลับมาอีกเลย
สำหรับนโยบายการท่องเที่ยวนั้นได้เกริ่นบทหน้าม่านมาก่อนเพื่อน และได้เผยแนวให้เห็นชัดเจนมากขึ้น แต่ยังไม่เกิดมรรคผลทางการปฏิบัติ เพราะต้องรอความพร้อมในการขับเคลื่อนนโยบาย
เฉพาะที่พอจะเห็นแนวโน้มชัดเจนในการส่งเสริมการท่องเที่ยวที่อาจกล่าวได้แล้วก็คือ
ประการแรก เป็นทิศทางการขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาลที่จะให้ความสำคัญแก่การท่องเที่ยว ในฐานะที่เป็นกลยุทธ์สำคัญในการนำรายได้เข้าประเทศครั้งใหญ่ที่สุด ซึ่งต้องยอมรับความจริงว่านโยบายการท่องเที่ยวของประเทศไทยได้ชะลอตัวมาหลายปีเต็มทีแล้ว แม้สถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ผ่านพ้นไป ก็ไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้น
และรายได้จากการท่องเที่ยวนั้นเป็นรายได้สำคัญที่มีจำนวนมากที่สุด ถ้าคิดเป็นเงินสุทธิแล้วก็ไม่ได้น้อยไปกว่ารายได้จากการส่งออก
แต่สภาพรายได้จากการท่องเที่ยวนั้นกระจายไปยังทุกพื้นที่ทั่วประเทศ กระจายไปยังผู้ประกอบการและประชาชนทุกหมู่เหล่า นั่นคือนักท่องเที่ยวไปถึงไหนก็นำเงินไปจับจ่ายใช้สอยถึงนั่น ผู้ประกอบการที่พักอาศัยหรือโรงแรม ผู้ประกอบการร้านค้าอาหารและสินค้าต่างๆ
แม้กระทั่งของฝาก ของที่ระลึก ตลอดจนการให้บริการทุกประเภท ก็มีโอกาสที่จะมีรายได้จากการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นการกระจายรายได้ไปยังประชาชนและผู้ประกอบการทุกภาคส่วนอย่างรวดเร็ว
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เมื่อครั้งเสด็จฯกลับจากต่างประเทศ ทรงมีพระราชปรารภและทรงกำหนดยุทธศาสตร์การท่องเที่ยวของประเทศไว้อย่างแหลมคมว่า ประเทศในยุโรปหลายประเทศเขาไม่ต้องปลูก ไม่ต้องไถ ไม่ต้องหว่าน แต่กลับมีรายได้กระจายไปอย่างทั่วถึง
เพราะชาวต่างประเทศได้เดินทางเข้ามาท่องเที่ยว มาจับจ่ายใช้สอยในทุกสิ่งอันสารพัดเรื่อง ทำให้เงินได้กระจายตัวไปตกได้แก่ผู้คนในประเทศที่มีผู้มาท่องเที่ยว
ทรงเห็นว่าสยามเป็นประเทศที่ผู้คนมีน้ำใจโอบอ้อมอารีแก่คนทั้งปวง เป็นดินแดนที่มีวัฒนธรรมอารยธรรมที่งดงาม ยากที่จะหาแผ่นดินใดในโลกนี้เทียบได้ มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งที่จะมีนักท่องเที่ยวจากชาติอื่นๆ เข้ามาท่องเที่ยวจับจ่ายใช้สอย
จึงเป็นที่มาของพระบรมราโชบายในการกำหนดยุทธศาสตร์ชาติในการส่งเสริมการท่องเที่ยว หรือการสร้างชาติให้เป็นมหาอำนาจทางอุตสาหกรรมบริการ
และนับแต่บัดนั้นมา รัฐบาลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ได้กระทำการมากหลายที่สนับสนุนเกื้อกูลและสอดคล้องรองรับกับการที่ชาว
ต่างชาติจะเข้ามาท่องเที่ยวในสยาม
ได้มีการสร้างถนนขึ้นจำนวนมาก สร้างไปรษณีย์โทรเลข สร้างธนาคาร ฟื้นฟูวัฒนธรรมประเพณีเพื่อให้สนับสนุนเกื้อกูลต่อการท่องเที่ยว
ถึงขนาดตั้งเป็นการพระราชพิธี 12 เดือนซึ่งหมายความว่าจะมีการดำเนินการทางศิลปวัฒนธรรมของชาติและราชประเพณีต่างๆ อย่างสม่ำเสมอทุกเดือนตลอดทั้ง 12 เดือน เพื่อเป็นเครื่องบันดาลใจและจูงใจเรียกร้องให้ชาวต่างชาติเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย
มีการส่งเสริมการเรียนการสอนภาษาอังกฤษอย่างกว้างขวาง
วันเวลาผ่านไปช้านานแล้ว มรดกที่พระองค์ท่านทรงวางไว้ให้กับบ้านเมืองของเราหลายสิ่งหลายอย่างเลือนหายไป เช่น พระราชพิธี 12 เดือน ซึ่งถ้าหากฟื้นฟูขึ้นมาใหม่อีกครั้งหนึ่งก็จะเป็นเครื่องเชื้อเชิญเชิญชวนนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกให้เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวยังประเทศไทย นี่ก็เป็นตัวอย่างที่ควรพิจารณา
รัฐบาลเศรษฐาได้กำหนดแนวทางในการยกเลิกอุปสรรคขัดขวางการท่องเที่ยว เช่น การกำหนดแนวทางที่จะยกเลิกการออกวีซ่าซึ่งเป็นเรื่องล้าสมัย ไร้มรรคผล มีแต่สร้างความยุ่งยาก ตลอดจนมาตรการและวิธีการต่างๆ ที่กีดกันนักท่องเที่ยวเข้าประเทศไทย เช่น การกำหนดให้การออกวีซ่าของบางประเทศในตะวันออกกลางต้องส่งเรื่องมาพิจารณาอนุญาตในกรุงเทพฯ เป็นต้น
วันใดที่อุปสรรคทั้งหลายที่ขัดขวางการท่องเที่ยว และมาตรการส่งเสริมสนับสนุนการท่องเที่ยวพรั่งพร้อมขึ้นมาแล้ว เมื่อนั้นประเทศไทยของเราจะเป็นสวรรค์บนดินที่ชาวโลกทั้งหลายจะแห่แหนเข้ามาท่องเที่ยวกันอย่างมีความสุข
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี