พรรคก้าวไกลมีมติขับ นายปดิพัทธ์ สันติภาดา ออกจากการเป็นสมาชิกพรรคแบบใช้เล่ห์เพทุบายเพื่อให้พรรคก้าวไกลได้ตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนและรองประธานสภาผู้แทนราษฎรในเวลาเดียวกัน ถือเป็นการทำงานการเมืองแบบศรีธนญชัย ที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย ซึ่งสส.ส่วนใหญ่มิควรให้เรื่องนี้ผ่านไปได้ง่ายๆ ปล่อยให้สัปปายะสภาสถาน ไร้ธรรมาภิบาลไร้ศักดิ์ศรี สภามีมลทินไปตลอดกาล และเป็นบรรทัดฐานเลวร้ายในแวดวงการเมือง
พรรคก้าวไกลทำงานการเมืองแบบไร้วุฒิภาวะ เอาแต่ใจเหมือนเด็กเล่นขายของ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนายปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 ใช้ช่องว่างกฎหมาย ผลาญงบประมาณอย่างไร้สาระแต่ไม่ผิดกฎหมายในกรณีใช้เงินกว่าสามล้านบาทเลี้ยงหมูกระทะพนักงานและแม่บ้าน ในระหว่างวันที่ 21-24 กันยายน 2566 ที่ผ่านมา นายปดิพัทธ์ ตั้งงบประมาณกว่า 1,300,000 บาท ไปดูงานประเทศสิงคโปร์ เป็นการตั้งงบประมาณ ตามสิทธิที่พึงจะได้รับ ที่กำหนดไว้ในระเบียบของกระทรวงการคลัง
แต่น่าคลางแคลงใจว่า ไปดูงานอะไรในประเทศสิงคโปร์ ซึ่งเป็นประเทศประชาธิปไตยแบบอำนาจนิยมที่ไม่มีฝ่าย รัฐบาล สิงคโปร์อยู่ใต้การปกครองของตระกูลลี มาตลอดเวลาห้าสิบกว่าปี ที่สำคัญ รองประธานสภาไทยไปดูงานตรงกับช่วงเทศกาลอาหารและเบียร์ในเกาะสิงคโปร์ นอกจากนั้นมีข้อครหาการแต่งกายอย่างไม่เหมาะสมตอนนั่งเป็นประธาน
ยังมีข้อครหาอีกหลายอย่างในบรรดา สส.พรรคก้าวไกล แต่การแสดงละคร เรื่องพรรคขับออกตามกฎหมายไปฝากเลี้ยงไว้สังกัดพรรคใหม่ เพื่อรักษาตำแหน่ง รองประธานสภาผู้แทนฯ เอาไว้ ถือเป็นเรื่องใหญ่ที่ สส.ในสภาและบรรดานักร้องเรียนทั้งหลาย จะต้องพิจารณาว่า เป็นไปตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญปี 2560 หรือไม่ สส.และนักร้องเรียนผู้รักความเป็นธรรมและต้องขัดขวาง ไม่ให้เรื่องเลวร้ายนี้เกิดขึ้นได้ไม่ว่าจะเป็นทางใดทางหนึ่งอาทิ การร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ หรือศาลไหนก็ได้ เพื่อให้พิจารณาว่า การขับสมาชิกออกจากพรรคด้วยเหตุผลเพื่อรักษาตำแหน่งรองประธานสภาผู้แทนฯไว้ เป็นไปตามเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญปี 2560 ทำได้หรือไม่
นอกจากมีข้อครหามากมายแล้ว นายปดิพัทธ์ เป็นกรรมการบริหารพรรคก้าวไกล ในขณะที่ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล ถูกร้องถือหุ้นสื่อซึ่งอยู่ระหว่างศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาคดีนายพิธา โดยไม่มีใครรู้ล่วงหน้าว่า ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาออกมาสถานใดและหากศาลพิจารณาเหมือนกรณี ถือหุ้นสื่อของอดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ พรรคก้าวไกลอาจถูกยุบ หากเป็นเช่นนั้น นายปดิพัทธ์ซึ่งก็เป็นกรรมการบริหารพรรคก้าวไกลในระหว่างการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 ก็ต้องพ้นจากตำแหน่ง สส.ไปโดยปริยาย ไม่จำเป็นต้องใช้เล่ห์เพทุบาย ทำเป็นขับออกจากพรรคให้เสียเวลา
นายปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1 โต้เสียงวิจารณ์เรื่องการ “สมคบคิด” และ “มีเงื่อนงำ” หลังจากถูกพรรคก้าวไกลใช้มติขับพ้นพรรค เพื่อรักษาไว้ทั้ง 2 เก้าอี้ ทั้งผู้นำฝ่ายค้านในสภาและรองประมุขฝ่ายนิติบัญญัติว่า
“ผมขอน้อมรับมติของพรรคก้าวไกล ที่ต้องการทำหน้าที่ “ฝ่ายค้านที่สมบูรณ์แบบ” และตัดสินใจให้สมาชิกภาพของผมยุติลง”นายปดิพัทธ์ สส.พิษณุโลก และในฐานะรองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1 เปิดแถลงข่าวที่รัฐสภา
ในระหว่างเปิดแถลงข่าว ที่รัฐสภาเมื่อวันที่ 29 กันยายน นายปดิพัทธ์กล่าวว่า ถ้าผมตัดสินใจลาออกจากตำแหน่ง รองประธานสภาผู้แทนฯจะส่งผลกระทบต่อวาระที่ให้คำมั่นสัญญาไว้กับประชาชนและสภา ซึ่งภายหลังพรรคก้าวไกลมีกรรมการบริหารชุดใหม่ จึงแสดงความจำนงจะทำหน้าที่ต่อในฐานะรองประธานสภาผู้แทนฯต่อไป ดังนั้น จึงทำให้ไม่สามารถเป็นสมาชิกพรรคก้าวไกล ได้อีกต่อไป
เขายก 3 เหตุผล ที่ใช้ประกอบการตัดสินใจรักษาเก้าอี้ รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1 เอาไว้สรุปได้ ดังนี้ 1. ต้องการใช้วาระสภาขับเคลื่อนนโยบายเพื่อยกระดับให้โปร่งใส มีประสิทธิภาพสูง และเป็นสภาของประชาชน 2. ต้องการปฏิบัติหน้าที่รองประธานสภาอย่างเป็นกลางต่อทุกพรรคและต่อประชาชนทุกชุดความคิดไม่ว่าจะสังกัดพรรคใดก็ตาม ดังนั้น“การต้องเปลี่ยนต้นสังกัดจะไม่ส่งผลกระทบต่อการทำหน้าที่และแผนงานในสภาแน่นอน” 3.มั่นใจว่า พรรคก้าวไกลมีความพร้อมและมีบุคลากรในการดูแลความทุกข์ร้อนของชาวพิษณุโลก เขต 1 ได้ และในการตัดสินใจได้สอบถามความเห็นประชาชนในเขตอย่างคร่าวๆ แล้ว
ที่ประชุมคณะกรรมการบริหารพรรคก้าวไกลชุดใหม่และสส. ก้าวไกล มีมติเมื่อวันที่ 28 กันยายน 2566 ให้นายปดิพัทธ์ออกจากการเป็นสมาชิกพรรค โดยให้เหตุผลว่า
“เพื่อให้พรรคก้าวไกลสามารถทำหน้าที่เป็น “ฝ่ายค้านโดยสมบูรณ์” ได้จากการแถลงข่าวเป็นที่ยืนยันว่านายปดิพัทธ์ยังมีความสัมพันธ์ผูกพันอย่างแนบสนิทกับพรรคก้าวไกล
นายปดิพัทธ์ แถลงชัดเจนถึงมีการสมคบคิดกันว่า“พรรคก้าวไกล มี กรรมการบริหารชุดใหม่ จึงแสดงความจำนงจะทำหน้าที่ต่อในฐานะรองประธานสภาผู้แทนราษฎรต่อไป ดังนั้น จึงทำให้ไม่สามารถเป็นสมาชิกพรรคก้าวไกลได้อีกต่อไป”
จากพฤติกรรมและคำสัมภาษณ์อย่างย่ามใจหากสภาฯยอมให้เรื่องนี้ผ่านไปแสดงว่าสภาไทยอยู่อย่างไร้ศักดิ์ศรี ไม่มีธรรมาภิบาลปล่อยเหตุการณ์เลวร้ายเกิดได้โดยไม่มีใครขัดขวาง
สุทิน วรรณบวร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี